อว.ประชุมหารือกรณีต่างชาติถือหุ้น ม.เอกชน หวั่นกระทบประเทศหลายมิติ

อว.

กระทรวง อว.ประชุมระดมความเห็นกรณีต่างชาติถือหุ้นมหาวิทยาลัยเอกชน เพื่อหาแนวทางกำกับดูแล หวั่นเกิดผลกระทบต่อประเทศหลายมิติ

วันที่ 20 ตุลาคม 2566 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้จัดประชุมระดมความคิดเห็นร่วมกับภาครัฐ “กรณีนักลงทุนชาวต่างชาติเข้ามาถือหุ้นในนิติบุคคลผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน” เพื่อร่วมกันหารือและกำหนดแนวทางความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

โดย ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล เป็นประธาน พร้อมด้วย นายพันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนและพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้นำเสนอข้อมูลในหัวข้อเรื่อง “สถานการณ์ความเป็นมากรณีนักลงทุนชาวต่างชาติเข้ามาถือหุ้นในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน” ร่วมกับคณะอนุกรรมการดำเนินการตามพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546

นำโดย รศ.ดร.ประดิษฐ์ วรรณรัตน์ ประธานอนุกรรมการฯ, ผู้แทนจากส่วนราชการ จำนวน 6 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ, สำนักข่าวกรองแห่งชาติ, สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, กรมที่ดิน, และกรมสรรพากร

รศ.ดร.ประดิษฐ์ วรรณรัตน์ กล่าวว่า สถาบันอุดมศึกษาเอกชนเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่รัฐบาลได้เปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาแบ่งเบาการจัดการศึกษาของรัฐ ในส่วนที่รัฐอาจไม่สามารถจัดบริการทางการศึกษาระดับอุดมศึกษาได้อย่างทั่วถึง โดยรัฐเป็นผู้ทำหน้าที่คัดกรองเอกชนเฉพาะผู้ที่มีศักยภาพและมีความพร้อมมากที่สุดในทุกด้านให้เป็นผู้เข้ามาลงทุนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐได้กำหนดขึ้น

จากสถานการณ์ปัจจุบันประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อจำนวนนักศึกษาลดลง จึงส่งผลกระทบต่อสถานะความมั่นคงและการดำรงอยู่ของสถาบันฯ เนื่องจากรายได้หลักของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนมาจากการจัดเรียนการสอน

กรณีที่มีนักลงทุนชาวต่างชาติเข้ามาถือหุ้นในนิติบุคคลผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้น เป็นเรื่องที่ทางคณะอนุกรรมการการดำเนินการตามพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน เล็งเห็นว่าอาจมีผลกระทบต่อการบริหารจัดการสถาบันอุดมศึกษาเอกชน และอาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในมิติต่าง ๆ ได้ จึงควรได้รับการหารือจากทุกฝ่าย

ด้านนายพันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี กล่าวว่า สถาบันอุดมศึกษาเอกชนจัดตั้งขึ้นโดยผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งนำทุนมาจัดตั้งขึ้น ซึ่งในปัจจุบันมีประเภทผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งทั้งที่เป็นบุคคล และประเภทนิติบุคคล โดยสำนักงานปลัดกระทรวง อว. มีหน้าที่และอำนาจในการพัฒนา ส่งเสริมกิจการสถาบันอุดมศึกษาเอกชน และกำกับการดำเนินการของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชนด้วย

“ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีข้อมูลกรณีชาวต่างชาติที่เข้ามาถือหุ้นในนิติบุคคลของผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน จำนวน 3 แห่ง และพบว่าหนึ่งในนิติบุคคลของผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งนั้น ได้ขยายการดำเนินการจัดการศึกษาไปยังสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งอื่น โดยวิธีการขอรับโอนใบอนุญาตจัดตั้ง รวมทั้งกรณีนักศึกษาต่างชาติเข้ามาศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก

ซึ่งจากสถิติจำนวนนักศึกษาชาวไทยกับนักศึกษาสัญชาติอื่นๆ ในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนประจำปีการศึกษา 2566 ปรากฎว่ามีนักศึกษาสัญชาติจีน 19,592 คน ในขณะที่มีนักศึกษาสัญชาติอื่นๆ รวมเพียง 8,462 คน

โดยนักศึกษาสัญชาติจีนดังกล่าวเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโท 51% และระดับปริญญาเอก 23% ซึ่งกระทรวง อว. ได้มีการดำเนินการต่างๆ ในการติดตามกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

กระทรวงพาณิชย์ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (สสอท.) และสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างหลักประกันการจัดการศึกษาเพื่อให้เกิดคุณภาพต้อผู้เรียน และเกิดประโยชน์โดยรวมต่อประเทศ” นายพันธุ์เพิ่มศักดิ์ กล่าว

ขณะที่ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล กล่าวว่า หลังจากการประชุมในวันนี้ ตนจะรับข้อมูลจากทุกท่านมาพิจารณา หากเรื่องใดจำเป็นต้องทำอย่างเร่งด่วน จะดำเนินการในทันที เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดผลกระทบต่อคุณภาพการจัดการศึกษาของประเทศไทยต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับมหาวิทยาลัย 3 แห่งที่มีการรายงานว่า มีสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติถือหุ้น ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกริก, มหาวิทยาลัยเมธารัถย์ และมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด

โดยกระทรวง อว.รายงานก่อนหน้านี้ว่าปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเกริก ทั้งนายกสภาและอธิการบดี เป็นคนไทย มีกรรมการสภาที่เป็นชาวจีนประมาณ 17% ส่วนมหาวิทยาลัยเมธารัถย์ ทั้งนายกสภาและอธิการบดีเป็นชาวจีนกรรมการสภาเป็นชาวจีน ประมาณ 40% ในขณะที่ มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด เดิมผู้ถือหุ้นเป็นชาวสิงคโปร์ แต่ได้เปลี่ยนเป็นชาวจีน มีนายกสภาเป็นชาวจีน อธิการบดีเป็นคนไทย และมีกรรมการสภาเป็นชาวจีนประมาณ 40%