
เลิร์น คอร์ปอเรชั่น เผยเทรนด์ธุรกิจการศึกษา โรงเรียนหลายแห่งมุ่งสู่หลักสูตรอินเตอร์มากขึ้น ชู “เลิร์นสาธิตพัฒนา” ต้นแบบโรงเรียนเอกชนมาตรฐานเทียบเท่านานาชาติ ค่าเทอมถูก พร้อมเปิดแผนปี 2567 เดินหน้าสู่การเป็น Lifelong Learning
วันที่ 19 มกราคม 2567 ธุรกิจการศึกษาเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่จำนวนเด็กเกิดใหม่น้อยลง หลายประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นความท้าทายที่เกิดขึ้นมานาน แต่เห็นภาพชัดเจนขึ้นเมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในปี 2562 เป็นต้นมา อีกทั้งยังเกิดเทรนด์ใหม่ ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการศึกษา ทั้งในเรื่องของทักษะใหม่ ๆ ที่ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ต้องการ ตลอดจนคนรุ่นใหม่เริ่มมีทางเลือกการเรียนรู้ในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น เหล่านี้เป็นสิ่งที่ภาคการศึกษาต้องปรับตัวให้ทัน
เฉกเช่นเดียวกับ “เลิร์น คอร์ปอเรชั่น” ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจการศึกษามาตลอดระยะเวลาหลายปี โดยเฉพาะโรงเรียนกวดวิชาออนดีมานด์ ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2549 เป็นโรงเรียนสอนพิเศษแห่งแรกที่นำระบบการเรียนการสอนด้วยระบบออนไลน์มาใช้กับการศึกษา และเป็นสถาบันสอนพิเศษอันดับหนึ่งที่มีผู้เรียนมากที่สุดในไทย ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 41 สาขาทั่วประเทศ
จากนั้นได้ต่อยอดธุรกิจภายใต้กลุ่มบริษัท เลิร์น คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยร่วมมือกับบุคลากรที่มีประสบการณ์จากองค์กรระดับโลกในการพัฒนาแพลตฟอร์ม EdTech ที่ให้บริการครอบคลุมทุกช่วงวัย
ปรับโครงสร้างธุรกิจ 3 กลุ่ม
ซึ่งปัจจุบันเลิร์นได้ปรับโครงสร้างธุรกิจเป็น 3 กลุ่ม รวมทั้งขยายความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ทำให้การบริหารจัดการธุรกิจก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว นำไปสู่การพัฒนายกระดับหลักสูตรใหม่และแพลตฟอร์มการเรียนรู้ในเครือ ซึ่งความสำเร็จเหล่านี้สะท้อนให้เห็นผ่านจำนวนการเข้าถึงผู้เรียนในปี 2566 กว่า 560,000 คน จาก 3 กลุ่มธุรกิจ ครอบคลุมตั้งแต่วัยประถมไปจนถึงกลุ่มวัยทำงาน ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจ Out-School 2.กลุ่มธุรกิจ Chain School และ 3.กลุ่มธุรกิจ Professional & Skills
นายสาธร อุพันวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เลิร์น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ฉายภาพธุรกิจทั้ง 3 กลุ่มให้ฟังว่า กลุ่มธุรกิจ Out School ก็คือกลุ่มธุรกิจนอกโรงเรียน ที่พัฒนาการเรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนก้าวสู่อาชีพ เน้นการผลักดันวัยเรียนให้ก้าวไปสู่เป้าหมายและมหาวิทยาลัยในฝัน พร้อมบริการให้คำปรึกษาด้านการเรียนต่อในต่างประเทศทั้งสำหรับวัยเรียนและวัยทำงาน ผู้เรียนสามารถเรียนผ่านแพลตฟอร์ม Learn Anywhere แอปพลิเคชั่นเรียนออนไลน์ที่รวบรวมคอนเทนต์จากกลุ่ม Out School ไว้ในที่เดียว
ซึ่งปัจจุบันถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีส่วนแบ่งรายได้สูงสุด โดยในปีที่ผ่านมาได้มีการเปิดสาขาวิชาใหม่ ๆ เพิ่มเติม เช่น OnDemand ได้เพิ่มหลักสูตรวิชาภาษาอังกฤษเพื่อให้ครอบคลุมสำหรับกลุ่มนักเรียนสายแข่งขัน รวมถึงการเปิดตัว Medical Career School ขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมให้เยาวชนก้าวสู่อาชีพแพทย์ได้ตามฝัน ผสานความร่วมจาก OnDemand, Ignite by OnDemand, TCASter และ APPA ร่วมกันพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านติวสอบ ฝึกทำข้อสอบ แนะแนว และสร้างประสบการณ์จริงผ่านแคมป์ ซึ่งได้รับผลตอบรับดีเกินคาด
บริหารหลักสูตรโรงเรียนเอกชน
ส่วนกลุ่มธุรกิจ Chain School เป็นกลุ่มธุรกิจบริหารโรงเรียนเอกชน หลัก ๆ จะเน้นพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียน โดยปัจจุบันมี LSP School (Learn Satit Pattana School) หรือชื่อเดิมคือโรงเรียนสาธิตพัฒนา ซึ่งเจ้าของเดิมคือแสนสิริ และเลิร์นได้เข้าไปบริหารงาน และเป็นผู้รับใบอนุญาตก่อตั้ง
เราบริหารด้วยการใช้เทคโนโลยีและหลักสูตรการเรียนของบริษัทเข้าไปทำการเรียนการสอน ควบคู่กับการกำหนดแผนการเรียนตามเป้าหมายรายบุคคลที่เรียกว่า Individual Development Plan (IDP) และทักษะภาษาอังกฤษตามมาตรฐาน Cambridge International ซึ่งปี 2566 LSP ได้เปิดตัวหลักสูตร ISP (International Signature Program) หรือหลักสูตรอินเตอร์ เพื่อรองรับกลุ่มนักเรียนนานาชาติที่มีอัตราเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยสามารถรับเด็กที่อยู่โรงเรียนอินเตอร์เข้ามาเรียนต่อกับเราได้ด้วย โดยมีคุณครูต่างชาติมากกว่าครึ่งของครูทั้งหมด

นายสาธรกล่าวต่อว่า เราโฟกัสในเรื่องคุณภาพการศึกษาเทียบเท่าโรงเรียนอินเตอร์แต่อยู่ในระดับที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า และตั้งเป้าที่จะเป็น “The Best School” ตอนนี้วางแผนจะเปิดหลักสูตรลักษณะนี้เพิ่มอีกอนาคตอันใกล้ซึ่งตอนนี้ก็มีดีลไว้บ้าง เรามองว่าการเปิดแห่งใหม่ก็เป็นไปได้หลายรูปแบบ ทั้งการร่วมมือกับภาคเอกชนที่เขามีอาคารอยู่แล้ว หรือมีทำเลแล้ว อาจจะร่วมกันสร้าง ก็สามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ
แนวโน้มการศึกษามุ่งไปสู่อินเตอร์มากขึ้น
นายสาธรกล่าวอีกว่า หลักสูตรของ LSP มีความใกล้เคียงกับโรงเรียนอินเตอร์ เพื่อสอดคล้องกับเทรนด์การศึกษาที่ตอนนี้มุ่งไปในเรื่องของอินเตอร์มากขึ้น เพราะไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนรัฐ-เอกชน หลายแห่งก็พยายามมุ่งเน้นไปที่ English Program หรือหลักสูตร EP เพราะตอนนี้กฏกระทรวงศึกษาธิการเริ่มเปิดมากขึ้น หรือแม้แต่กวดวิชายังเห็นแนวโน้มของผู้เรียน ที่มุ่งเน้นเรียนด้านภาษามากขึ้นอีกด้วย
“ตลาดของโรงเรียนอินเตอร์ Market Size อยู่ที่ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ส่วนภาค English Program ในโรงเรียนรัฐตอนนี้ขึ้นมาถึง 8 หมื่นล้านบาท โดยการใช้จ่ายเงินของคนด้านการศึกษาไปในทางอินเตอร์ เราก็พยายามขยับตามความต้องการของพ่อแม่ผู้ปกครอง สิ่งที่เราเข้าไปคืออยู่ตรงกลาง หมายความว่า เราไม่ได้จะทำโรงเรียนอินเตอร์ แต่เป็นการพัฒนาหลักสูตรอินเตอร์ในราคาที่ไม่แพง ซึ่งค่าเทอมของ LSP จะอยู่ที่เทอมละประมาณ 2-3 แสนบาท เป็นราคาที่เหมาะสม”
ขณะที่กลุ่มธุรกิจ Professional & Skills กลุ่มธุรกิจพัฒนาทักษะสมัยใหม่เพื่อรองรับการทำงานในโลกอนาคต ในปี 2566 ที่ผ่านมา Skooldio บริษัทในเครือ ได้มีการเปิดหลักสูตรสมัยใหม่กลุ่ม AI หลากหลายหลักสูตร ตอบโจทย์ผู้ที่มีพื้นฐานและไม่มีพื้นฐานด้าน AI ได้พัฒนาทักษะตนเองสู่โลกอนาคต จนติดโผสตาร์ตอัพที่เติบโตสูงระดับเอเชีย-แปซิฟิก ปี 2566
รวมทั้งยังได้ร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนา Degree plus แพลตฟอร์ม Lifelong Learning Operating System ที่พัฒนาหลักสูตรสมัยใหม่ให้กับมหาวิทยาลัยชั้นนำต่าง ๆ เช่น หลักสูตรผู้บริหารระดับสูง VELA (Vitality Enhancement & Longevity Academy) เพื่อพัฒนาและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการแพทย์และธุรกิจสุขภาพ และหลักสูตร Decentralized Finance and Blockchain เพื่อแก้ปัญหาระบบการเงินอีกด้วย
ปี’67 ปักธงสู่ Lifelong Learning
นายสาธรกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ปี 2567 เลิร์นปักธงชูเดินหน้าสู่การเป็น Lifelong Learning Solutions for Internationalization ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลกยุคใหม่ ทำให้ทักษะมากมายถูก Disrupt โดยล่าสุดจากรายงาน The Future of Jobs ประจำปี 2566 จากการประชุม World Economic Forum ได้กล่าวว่า ภายใน 5 ปี ทักษะ 44% ของผู้คนจะไร้ความหมายและไม่มีประโยชน์อีกต่อไป จึงเป็นที่มาของการปรับตัวครั้งสำคัญของมนุษยชาติสู่โลกใหม่ที่ผู้คนจะต้องเรียนรู้และพัฒนาตัวเองตลอดชีวิต หรือ Lifelong Learning
ในขณะที่อนาคตจะมีการใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้ในการเข้าถึงผู้คนอย่างแพร่หลาย เกิดเป็นทางเลือกการเรียนรู้ใหม่ที่สามารถผสมผสานออนไลน์กับออฟไลน์ได้อย่างลื่นไหล (Blended Learning) และมีความเป็นเฉพาะบุคคล (Personalized Learning) มากขึ้น เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายของผู้เรียนอย่างยืดหยุ่น
จากแนวโน้มดังกล่าวจึงเป็นที่มาสำคัญของเป้าหมายในการเดินหน้าสู่การเป็น “Lifelong Learning Solutions for Internationalization” ที่จะมุ่งเน้นการเป็นโซลูชั่นการเรียนรู้ที่จะตอบโจทย์ผู้เรียนในทุกช่วงชีวิต เพื่อเป้าหมายการพัฒนาทักษะของคนไทยสู่การเป็นพลเมืองโลก (Global Citizen) ได้อย่างแท้จริง โดยจะมุ่งเน้นการทำงานผ่าน 2 กลยุทธ์ คือ
- Platform Synergy มุ่งเน้นการบริหารงานที่ผสานความร่วมมือจาก 3 กลุ่มธุรกิจ ทั้งการบริหารงาน การพัฒนาคอนเทนต์ความรู้ การบริการ เทคโนโลยี ตลอดจนการแชร์องค์ความรู้ร่วมกัน พร้อมกับดึงจุดเด่นของแต่ละธุรกิจเข้ามาผสานเป็นหนึ่งเดียว เพื่อพัฒนาเป็นโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ผู้เรียนทุกช่วงอายุ
- High Demand & Impactful มุ่งเน้นการพัฒนาหลักสูตรต่อยอดทักษะหรือองค์ความรู้ที่กำลังเป็นที่ต้องการสูง ตอบโจทย์ดีมานด์ในตลาดและเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาคนในสังคม อีกทั้งการทำงานภายในต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วทั้งในเชิงการพัฒนาคอนเทนต์และบริการ รวมถึงการปรับรูปแบบการเรียนการสอนเพื่อให้เข้าถึงและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้เรียนทุกช่วงอายุ
นายสาธรกล่าวอีกว่า แนวโน้มการเติบโตในปี 2567 คาดว่าภาพรวมธุรกิจจะโตอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มธุรกิจ Out-School จะยังเป็นกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้สูงสุดจากรายได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ากลุ่มธุรกิจ Chain School ที่เป็นกลุ่มธุรกิจใหม่จะมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยผลตอบรับที่ดีมากจากกลุ่มครอบครัวยุคใหม่ที่ชื่นชอบจุดเด่นของหลักสูตรแบบ Personalized Learning เป็นแนวทางการศึกษาที่กำลังเป็นที่ต้องการในปัจจุบัน