ศุภมาส ยันอุเทนถวายยังรับนักศึกษาปี 1 เหมือนเดิม แต่ให้รับในวิทยาเขตอื่น

ศุภมาส อิศรภักดี
ศุภมาส อิศรภักดี

ศุภมาส ยันอุเทนถวายยังรับนักศึกษาปี 1 เหมือนเดิม แต่ให้เปิดรับในวิทยาเขตอื่นแทน พร้อมทำแผนย้ายคณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ไปสถานที่ใหม่ย่านมีนบุรี

วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า การรับนักศึกษาของวิทยาเขตอุเทนถวาย ยังคงรับนักศึกษาปี 1 เหมือนเดิม แต่ให้มีการบริหารจัดการการเรียนการสอนเพื่อให้สอดรับกับแผนการย้ายที่ตั้งของอุเทนถวาย

ซึ่งเป็นข้อเสนอจากการประชุมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ มทร.ตะวันออก, จุฬาฯ, กรมธนารักษ์, สำนักงบประมาณ และสำนักงานอัยการสูงสุด โดยตนเป็นประธาน

ที่ประชุมเสนอให้อุเทนถวายย้ายสถานที่ไปยังวิทยาเขตบางพระ จังหวัดชลบุรี หรือสถานที่ที่กรมธนารักษ์จัดหาให้ หรือสถานที่ที่มีผู้บริจาคให้ และเห็นควรให้ปรับแผนการรับนักศึกษาใหม่ โดยเปิดรับนักศึกษาใหม่ในวิทยาเขตอื่น ๆ แทน ซึ่งมหาวิทยาลัยจะเสนอสภามหาวิทยาลัยพิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแผนดังกล่าวในวันที่ 10 ก.พ. 2567

สำหรับการจัดหาสถานที่เรียนให้นักศึกษาที่ต้องย้ายนั้น ในเบื้องต้นได้กำหนดไว้ใน 4 พื้นที่ ได้แก่ 1.วิทยาเขตบางพระ จ.ชลบุรี 2.วิทยาเขตจักรพงษภูวนารถ ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ 3.พื้นที่บริจาคที่มีนบุรี กรุงเทพฯ และ 4.พื้นที่ที่ราชพัสดุใน จ.สมุทรปราการ ซึ่งทั้ง 4 สถานที่สามารถเดินทางได้สะดวก

โดยกระทรวง อว. ได้ประสานกับอุเทนถวายเพื่อจัดทำรายละเอียดในการจัดทำคำของบประมาณ และประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อให้ความช่วยเหลือในการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ

ADVERTISMENT

ขณะที่อุเทนถวายได้มีการจัดทำแผนการเคลื่อนย้ายบุคลากรของสำนักงานเขตพื้นที่อุเทนถวาย ซึ่งมีจำนวน 125 คน โดยจัดหาพื้นที่การปฏิบัติงานบางส่วนในพื้นที่จักรพงษภูวนารถ และเตรียมการเคลื่อนย้ายครุภัณฑ์เพื่อใช้ในการทำงาน และกำหนดเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 12 มี.ค. 2567

นอกจากนี้ ยังจัดทำแผนเคลื่อนย้ายพื้นที่เขตพื้นที่อุเทนถวาย โดยจัดทำโครงการก่อสร้างขยายเขตพื้นที่การศึกษาของคณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ บนที่ดินจำนวน 24 ไร่ 2 งาน 50 ตารางวา ที่มีนบุรี กรุงเทพฯ เพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายนักศึกษา

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ได้ผ่านการพิจารณาของสภามหาวิทยาลัยแล้วพร้อมกับได้เสนอของบประมาณในปี 2568 จำนวนประมาณ 400 ล้านบาทต่อสำนักงบประมาณแล้ว