
สำนักเลขาธิการสภาการศึกษา หรือ สกศ. เผยผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเด็กไทยยังอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง ด้านความเสมอภาคมีการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม แต่เหลื่อมล้ำในเชิงคุณภาพ พร้อมเสนอแนวทางการแก้ปัญหาสภาวะการศึกษาไทย 3 วิธี
รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยในการประชุมสัมมนาเพื่อเผยแพร่รายงานสภาวะการศึกษาไทย ไตรมาสที่ 1 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ว่า สกศ. จัดทำการวิเคราะห์สภาวะการศึกษาไทยรายไตรมาสเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยการวิเคราะห์จะใช้องค์ความรู้ การวิจัยจาก 5 มิติตามเป้าหมายของการจัดการศึกษาตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579

5 แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579
มิติที่ 1 คุณภาพการศึกษา พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเด็กไทยยังอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นจากผลการทดสอบทั้ง O-NET และ PISA เด็กไทยมีทักษะการอ่านอยู่ในระดับต่ำมาโดยตลอด สะท้อนให้เห็นว่า “คนไทยอ่านได้ แต่ไม่มีคุณภาพ”
มิติที่ 2 ความเสมอภาคทางการศึกษา มีโรงเรียนขนาดเล็กสังกัด สพฐ. ร้อยละ 51 แต่กลับไม่เสมอภาคในเรื่องคุณภาพของการจัดการศึกษาที่ได้รับเมื่อเทียบกับโรงเรียนขนาดใหญ่ สะท้อนว่า “ประเทศไทยเสมอภาคในเชิงโอกาส แต่เหลื่อมล้ำในเชิงคุณภาพ”
มิติที่ 3 การเข้าถึงการศึกษา การเข้าเรียนระดับการศึกษาภาคบังคับของประชากรวัย 6-14 ปี มีอัตราสูงถึงร้อยละ 90.30 ถือเป็นจุดแข็งสำคัญของการศึกษาไทย
มิติที่ 4 ประสิทธิภาพในการจัดการศึกษา มีการลงทุนทางการศึกษาในระดับที่สูง แต่ผลลัพธ์ทางการศึกษากลับไม่สูงตามจำนวนงบประมาณ สะท้อนให้เห็นถึงว่า “ประเทศไทยมีทรัพยากรแต่บริหารไม่ดี ผลลัพธ์จึงออกมาไม่ดี”
มิติที่ 5 การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง ความต้องการแรงงานปัจจุบันเน้นไปที่กำลังแรงงานสายอาชีวศึกษา แต่นักเรียนส่วนใหญ่ยังเลือกที่จะเรียนในสายสามัญอยู่เป็นจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นว่าผู้เรียนจะไม่ปรับเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลกของอาชีพ
รศ.ดร.ประวิต กล่าวต่อว่า หน่วยงานจัดการศึกษาและที่เกี่ยวข้องต้องเฝ้าระวัง เรื่องของความเสี่ยงจากความขัดแย้งและภูมิรัฐศาสตร์ของโลก เนื่องจากหลายประเทศมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ตลอดจนปัญหาสุขภาพอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภัยพิบัติและมลพิษต่าง ๆ
เฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรที่จำนวนเด็กเกิดใหม่มีน้อยลงทุกปี รวมทั้งเด็กเจเนอเรชั่นใหม่ที่มีรูปแบบและความต้องการทางการศึกษาที่ไม่เหมือนอดีตที่ผ่านมา และการปรับเปลี่ยนจุดเน้นในการพัฒนาผู้เรียนจากเดิมเน้นการพัฒนาทักษะมาให้ความสำคัญกับเรื่องทัศนคติ (Mindset) ของผู้เรียนมากขึ้น
แนวทางการแก้ปัญหาสภาวะการศึกษาไทย 3 วิธี
- ลดช่องว่างทางการศึกษา (Narrow the Gap) ด้วยการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรที่ไม่ยึดติดกับจำนวนผู้เรียนแต่เพียงอย่างเดียว สร้างกลไก Early Warning เพื่อติดตามประเมินผลผู้เรียนได้ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา หรือต่ำกว่า เพื่อให้มีโอกาสในการพัฒนาผู้เรียนตั้งแต่ยังเล็ก และเน้นการประเมินในรูปแบบ Formative Assessment มากขึ้น และส่งเสริมการเรียนรู้ในระบบ Peer Learning ให้ทั้งผู้บริหาร ครู และนักเรียนให้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันในสภาวะแวดล้อมที่เป็นมิตรกับทุกฝ่าย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น
- เชื่อมต่อทุกมิติการศึกษา (Connect the Dots) ด้วยการพัฒนาระบบฐานข้อมูลทางการศึกษาให้ครบถ้วน และทันสมัยทันสมัยอยู่ตลอดเวลา กำหนดความรับผิดรับชอบของแต่ละหน่วยงานอย่างชัดเจน (Accountability) และนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ และจัดการศึกษาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Generative AI ซึ่งจะช่วยให้การทำงานต่าง ๆ มีความสะดวกรวดเร็ว ถูกต้องแม่นยำเพิ่มมากขึ้น
- ทลายทุกอุปสรรคของการเรียนรู้ (Break the Walls) จัดทำ tracking system นักเรียนรายบุคคล เพื่อติดตามความก้าวหน้าในการเรียนรู้ตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนสู่การทำงาน ให้ความสำคัญในการจัดการเรียนรู้ให้กับกลุ่มนอกวัยเรียน และการศึกษานอกระบบ และการจัดการศึกษาตามอัธยาศัยเพิ่มมากขึ้น เน้นการกระจายอำนาจทางการศึกษาให้คนในท้องถิ่น สามารถกำหนดแนวทางในการจัดการศึกษาได้ตามบริบทและความต้องการของชุมชน