รมว.คลัง ถก ธปท. รับมือความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยน-เฟดขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ส่วนการขึ้นดอกเบี้ยไทยต้องคำนึง 3 ปัจจัยหลัก หากสถานการณ์ผันผวนมากแบงก์ชาติพร้อมเข้าไปดูแล
วันที่ 22 กันยายน 2565 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ช่วงเช้าวันนี้ กระทรวงการคลังได้มีการหารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อติดตามสถานการณ์ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อีก 0.75% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ เนื่องจากสหรัฐต้องการลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐชะลอตัวลงบ้าง
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
“เฟดได้ตั้งเป้าว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นไปอีก 4-4.5% ดังนั้น ขณะนี้หลายประเทศรวมถึงไทยที่จะต้องติดตามว่าการขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งที่ผ่านมาจะส่งผลอย่างไรต่อในประเทศ ซึ่งบางประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวก็จะได้รับผลกระทบมากกว่า ประเทศที่เริ่มกลับมาฟื้นตัวได้แล้ว ดังนั้น ในส่วนของประเทศไทยก็ต้องมีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด”
ส่วนประเทศไทยจะมีการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ด้วยหรือไม่นั้น ธปท.จะเป็นผู้พิจารณาในเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ดี ในการหารือกันได้ให้ความสำคัญกับ 3 ปัจจัยหลัก ในการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ได้แก่
1.อัตราเงินเฟ้อ โดยจะต้องดูว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะมีผลต่อเงินเฟ้อ และมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน 2.การขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งธปท.จะต้องมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้แบบปกติ และ 3.เงินทุนเคลื่อนย้าย โดยช่วงที่ผ่านมามีเงินทุนไหลออกบ้าง แต่ยังไม่ถือว่าผิดปกติ ซึ่ง ธปท.ก็มีการติดตามอย่างใกล้ชิด
“ปัจจัย 3 ข้อคือ เงินเฟ้อ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการเคลื่อนย้ายของเงินทุน จะให้น้ำหนักในเรื่องใดมากกว่ากันนั้น เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และ ธปท.ที่จะเป็นผู้พิจารณาเอง แต่ยืนยันว่ากระทรวงการคลังและ ธปท.ก็มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์มีความผันผวนมาก ธปท.ก็จะเข้าไปดูแล”
ขณะที่แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2565 นี้ หลายสำนักยังประเมินว่าจะขยายตัวได้ 3-3.5% ซึ่งมองว่าเราก็น่าจะสามารถทำได้ เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจไทยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากเรื่องการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์จากเงินบาทที่อ่อนค่า ขณะเดียวกัน ภาคการท่องเที่ยวก็จะเข้ามาช่วยขับเคลือนด้วย โดยล่าสุดมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยแล้ว 5 ล้านคน และคาดว่าปีนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจะถึง 8 ล้านคน ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ส่วนกรณีที่เงินบาทอ่อนค่าลงรวดเร็ว จะมีผลต่อราคาพลังงาน และค่าครองชีพในประเทศเพิ่มสูงขึ้นหรือไม่นั้น มองว่าขณะนี้ราคาน้ำมันได้ลดลงมาต่ำกว่า 100 เหรียญต่อบาร์เรลแล้ว ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับประมาณ 90-95 เหรียญต่อบาร์เรล เป็นระดับที่รัฐบาลบริหารจัดการได้ แต่ยังคงต้องติตดามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. 65 เป็นช่วงหน้าหนาวแล้ว อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันผันผวนได้ ซึ่งอาจมีผลต่อเรื่องราคาสินค้าและค่าครองชีพ เนื่องจากมีต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์สูงขึ้น
อย่างไรก็ดี ขณะนี้รัฐบาลก็ได้มีมาตรการออกมาช่วยเหลือด้านค่าครองชีพแล้ว ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนก็ต้องมีการปรับตัว เพื่อลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นในการผลิต