เงินบาทอ่อนค่า จับตาปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า-ตัวเลขส่งออกเดือนก.ย.

เงินบาท

เงินบาทอ่อนค่าตามทิศทางสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค นำโดยเงินเยนและเงินหยวน ขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นตามบอนด์ยีลด์สหรัฐ รับแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด SET Index ปรับขึ้น โดยมีแรงหนุนจากความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ จับตาปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า ตัวเลขส่งออกเดือน ก.ย.ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ผลประกอบการงวดไตรมาส 3/65 ของบจ.

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทว่า เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่า ทั้งนี้ เงินบาทอ่อนค่าลงตามทิศทางภาพรวมของสกุลเงินเอเชีย นำโดยเงินเยนและเงินหยวน โดยในระหว่างสัปดาห์ เงินบาทร่วงแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 16 ปี ที่ 38.46 บาทต่อดอลลาร์ เงินเยนทำสถิติอ่อนค่าสุดในรอบ 32 ปีเหนือแนว 150 เยนต่อดอลลาร์

ส่วนเงินหยวนแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 14 ปี แม้มีแรงหนุนช่วงสั้นจากการที่ตลาดมีความหวังว่าทางการจีนอาจพิจารณาลดจำนวนวันกักตัวสำหรับผู้ที่เดินทางเข้าจีนก็ตาม นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทยังสอดคล้องกับสัญญาณขายสุทธิในตลาดพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติด้วยเช่นกัน

ขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐ (บอนด์ยีลด์อายุ 10 ปีของสหรัฐ ขยับขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี) ขณะที่ตลาดทยอยเพิ่มน้ำหนักให้กับโอกาสความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 75 bps. เป็นครั้งที่ 5 ในการประชุม FOMC เดือน ธ.ค. ต่อเนื่องจากที่น่าจะปรับขึ้น 75 bps. ในการประชุมเดือน พ.ย. นี้

กราฟค่าเงินบาท

ในวันศุกร์ที่ 21 ต.ค. 2565 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 38.36 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับ 38.08 บาทต่อดอลลาร์ ในวันพุธก่อนหน้า (12 ต.ค.) ขณะที่ระหว่างวันที่ 17-21 ต.ค. นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 2,006 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflow ออกจากตลาดพันธบัตร 16,315 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 16,170 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่หมดอายุ 145 ล้านบาท)

สัปดาห์ถัดไป (24-28 ต.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ระดับ 37.80-38.80 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกไทยเดือน ก.ย. ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ค่าเงินในภูมิภาค ผลการประชุม ECB และ BOJ

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย ข้อมูลรายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคล รวมถึง PCE/Core PCE Price Indices เดือน ก.ย. จีดีพีไตรมาส 3/65 (advanced report) และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ต.ค.

นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามข้อมูล PMI เดือน ต.ค. (เบื้องต้น) ของสหรัฐ ยูโรโซน และอังกฤษ ตลอดจนข้อมูลจีดีพีไตรมาส 3/65 และตัวเลขเศรษฐกิจอื่น ๆ ของจีนเดือน ก.ย. ที่ถูกเลื่อนการประกาศจากกำหนดการเดิมด้วยเช่นกัน

กราฟตลาดหุุ้นไทย

ส่วนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ก่อน หลังเผชิญแรงกดดันติดต่อกัน 3 สัปดาห์ ทั้งนี้ SET Index ดีดตัวขึ้นช่วงต้นสัปดาห์ตามแรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนสถาบัน โดยมีแรงหนุนจากความหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐในช่วงปลายปี ประกอบกับมีแรงซื้อหุ้นบางกลุ่ม โดยเฉพาะแบงก์ พลังงาน และวัสดุก่อสร้าง ก่อนการประกาศงบไตรมาส 3/65

อย่างไรก็ดี หุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบในเวลาต่อมา ก่อนจะลดช่วงบวกลงเล็กน้อยในช่วงปลายสัปดาห์ สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาคท่ามกลางความกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกที่อาจได้รับผลกระทบจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลาย ๆ ประเทศอย่างต่อเนื่อง

ในวันศุกร์ (21 ต.ค.) ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,591.32 จุด เพิ่มขึ้น 1.96% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 59,282.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.38% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 2.21% มาปิดที่ระดับ 645.27 จุด

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (24-28 ต.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,585 และ 1,575 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,600 และ 1,610 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขส่งออกเดือน ก.ย.ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ผลประกอบการงวดไตรมาส 3/65 ของ บจ.

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI (เบื้องต้น) เดือน ต.ค. ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล ดัชนี PCE/Core PCE Price Index เดือน ก.ย. ตลอดจนตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/65 ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ การประชุม ECB และ BOJ ดัชนี PMI (เบื้องต้น) เดือน ต.ค. ของญี่ปุ่นและยูโรโซน รวมถึงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/65 และข้อมูลเศรษฐกิจเดือน ก.ย. ของจีน อาทิ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร