ค่าเงินบาทอ่อนยวบ ทุบสถิติ จ่อ 39 บาท/ดอลลาร์ ก่อนสิ้นปี

เงินบาท

เงินบาทผันผวนหนัก รับเอฟเฟ็กต์ “ดอลลาร์แข็ง-หยวนอ่อน” ล่าสุดบาทอ่อนทำสถิติรอบ 16 ปี “กสิกรไทย” ประเมินช่วงที่เหลือของปีมีโอกาสเห็น 39.50 บาทต่อดอลลาร์ เหตุเงินเฟ้อสหรัฐยังสูง-ค่าเงิน 2 ประเทศมหาอำนาจยังสร้างแรงกดดัน ฟาก “กรุงศรี” คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% อีก 2 ครั้งในปีนี้

นางสาวกฤติกา บุญสร้าง ผู้ชำนาญการงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย หรือห้องค้ากสิกรไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มเงินบาทในช่วงไตรมาสสุดท้าย ก่อนสิ้นปี 2565 นี้ มีโอกาสอ่อนค่าไปถึงระดับสูงสุดที่ 39.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ เนื่องจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า จากการที่อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐยังสูงกว่าคาดอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการอ่อนค่าของเงินหยวน ที่กดดันสกุลเงินเอเชียด้วย

อย่างไรก็ดี ค่าเงินบาทมีโอกาสกลับมาแข็งค่าที่ 37.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปีนี้ จากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีแนวโน้มลดลง ด้วยการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหนุนสำคัญ ประกอบกับการส่งออก ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางความผันผวนที่ธนาคารกลางหลายประเทศ อาจเข้าแทรกแซงตลาดเงินและค่าเงินเพิ่มขึ้นในอนาคต

นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการสายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่าไประดับมากสุดที่ 38.46 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี

แต่ยังเท่ากับระดับอ่อนค่าเมื่อวันที่ 28 ก.ย. ยังไม่ทะลุไปมากกว่านี้ เนื่องจากมีกระแสข่าวจีนจะพิจารณาผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด โดยลดวันกักตัวผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ ทำให้มีการเทขายเงินดอลลาร์เพื่อทำกำไรกันค่อนข้างมาก เงินบาทจึงแข็งค่ากลับมาได้

“ช่วงที่เหลือของปี เป็นไปได้เรื่องความผันผวนที่จะมีสูง เพราะเมื่อวันที่ 20 ต.ค. วันเดียวเงินบาทแกว่งขึ้นลงถึง 40 สตางค์ เนื่องจากตลาดมองว่าเงินเฟ้อสหรัฐยังสูง จึงคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งละ 0.75% ในการประชุม 2 ครั้งที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะทำเป็นการขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ถึง 5 ครั้งติดต่อกัน มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เดิม”

โดยในช่วงก่อนสิ้นปีนี้ มีโอกาสที่เงินบาทอาจจะอ่อนค่าไปถึง 39 บาทต่อดอลลาร์ แต่ถึงสิ้นปี กรุงศรีมองว่าจะกลับมาอยู่ที่ระดับ 37.75 บาทต่อดอลลาร์ได้ เนื่องจากการคาดการณ์ดอกเบี้ยเฟดมาค่อนข้างไกลแล้ว จากเดิมที่ตลาดมองว่าในไตรมาสแรกปีหน้าดอกเบี้ยเฟดน่าจะไปอยู่ที่ 4.5% จากสถานการณ์ตอนนี้ก็อาจจะไปถึง 5%

“การคาดการณ์ดอกเบี้ยเฟด น่าจะเป็นระดับจิตวิทยาแล้ว ถึงดอกเบี้ยจะขึ้นไปมากกว่า 5% ก็น่าจะมีผลไม่มากแล้ว อย่างไรก็ดี ยังต้องลุ้นว่าทางจีนจะผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิดมากน้อยแค่ไหนด้วย” นางสาวรุ่งกล่าว