กำไรบริษัทในตลาดหุ้นไทย 9 เดือนแรก แตะ 8.25 แสนล้าน เพิ่มขึ้น 14.2%

เงินบาท-ตลาดหุ้น-02

กำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย 9 เดือนแรกปี 2565 กลุ่ม SET แตะ 8.25 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.2% บจ. Mai กำไร 6.5 พันล้านบาท โต 1% ยกเลิกคุมโควิด-เปิดประเทศกระตุ้น GDP ฟื้นตัวโตดี ใช้จ่ายในประเทศ-นักท่องเที่ยวต่างชาติที่หนุนธุรกิจเติบโต

วันที่ 28 พฤศจิกายน 2565 นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) จำนวน 780 บริษัท คิดเป็น 97.5% จากทั้งหมด 798 บริษัท (รวม SET และ mai และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน บจ.ในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC) นำส่งผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2565 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.65 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 593 บริษัท คิดเป็น 76.1% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 825,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.2% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมียอดขายที่ 13,171,982 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.1% มีต้นทุนการผลิต 10,302,728 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.9% และกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) อยู่ที่ 1,489,550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.6%

สำหรับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (DE) (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ระดับ 1.59 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 1.54 เท่า เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยการยกเลิกมาตรการควบคุมโควิดและการเปิดประเทศช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจเติบโตดีและมีการฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้การใช้จ่ายของคนในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยทำให้ธุรกิจที่เติบโตได้ดีคือ กลุ่มธุรกิจธนาคารและบริษัทเงินทุน มีการขยายตัวด้านสินเชื่อได้ดี และธุรกิจพาณิชย์ ธุรกิจอาหาร และธุรกิจโรงพยาบาล มียอดขายเพิ่มขึ้น รวมถึงทำให้กลุ่มธุรกิจโรงแรมมียอดขายเพิ่มขึ้นและมีผลขาดทุนลดลง แต่ความผันผวนของสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราแลกเปลี่ยนยังกระทบต่อต้นทุนการผลิตและอัตราการทำกำไรของ บจ.

บจ. Mai กำไร 6.5 พันล้าน โต 1%

นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กล่าวว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 185 บริษัท คิดเป็น 96% จากทั้งหมด 192 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงวด) ที่รายงานกำไรสุทธิจำนวน 131 บริษัท คิดเป็น 71% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

มีกำไรสุทธิรวม 6,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน มียอดขายรวม 153,582 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.8% ต้นทุนขาย 121,253 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ลดลงจาก 23.6% มาอยู่ที่ 21% กำไรจากการดำเนินงาน 8,136 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.0% โดย 4 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มียอดขาย กำไรจากการดำเนินงาน และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ได้แก่ 1.กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร 2.กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง 3.กลุ่มบริการ และ 4.กลุ่มเทคโนโลยี ในส่วนกำไรไตรมาส 3/65 อยู่ที่ 2,183 ล้านบาท ลดลง 18.6% มียอดขายรวม 52,289 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.8% กำไรจากการดำเนินงาน 2,956 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.4%

ทั้งนี้กำไรงวด 9 เดือนแรกปีนี้ บจ.ส่วนใหญ่มียอดขายเติบโต สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว หลังจากผ่านช่วงการระบาดโควิด-19 และการเริ่มกลับมาของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมียอดขายเพิ่มขึ้น ยกเว้น กลุ่มธุรกิจการเงิน

อย่างไรก็ตาม บจ. ส่วนใหญ่มีต้นทุนสูงขึ้น จากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ ทำให้อัตราการทำกำไรลดลง และโดยรวมยังสามารถควบคุมสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายได้ดี ทำให้กำไรจากการดำเนินงานยังคงเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้เริ่มเห็นการฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจจัดงานอีเว้นต์ ธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจส่งออกที่ได้รับผลบวกจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัว

สำหรับสินทรัพย์รวมมีอยู่กว่า 309,635 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.3% จากสิ้นปี 2564 และโครงสร้างเงินทุนรวมแข็งแรงขึ้น โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 0.89 เท่า ลดลงจากสิ้นปี 2564 ที่เท่ากับ 1.03 เท่า

โดยปัจจุบันมี บจ. ใน mai 193 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2565) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 580.47 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) อยู่ที่ 518,418 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 5,853 ล้านบาทต่อวัน