สศช. แนะต้อนแรงงานนอกระบบเสียภาษี จี้ทบทวน “หักลดหย่อน”

ภาษี

สศช. แนะแนวทางเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ได้มากขึ้น เพื่อตอบโจทย์แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ หนุนจัดสวัสดิการประชาชน ชี้ต้องดึงแรงงานนอกระบบเข้าฐานภาษี-ทบทวนการยกเว้นภาษีให้แก่รายได้บางประเภท-ทบทวนสิทธิประโยชน์การหัก “ค่าใช้จ่าย-ค่าลดหย่อน” ใหม่

วันที่ 3 มีนาคม 2566 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า สศช.ได้ศึกษาเรื่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในมิติการเป็นแหล่งรายได้รัฐและเครื่องมือลดความเหลื่อมล้ำ

ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องการปรับโครงสร้างภาษี เพราะเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากรายได้ภาษีในปัจจุบันมีสัดส่วนแค่กว่า 13% ต่อจีดีพีเท่านั้น ดังนั้น หากจำเป็นต้องมีการจัดสวัสดิการต่าง ๆ ให้แก่ประชาชน ก็ต้องมีการปรับโครงสร้างภาษีให้มากขึ้น

นางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการ สศช. กล่าวว่า ภาษีเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐ โดยในปี 2564 มีรายได้จากการเก็บภาษีทั้งสิ้น 2.8 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 88.5% ของรายได้รัฐทั้งหมด แต่หากย้อนกลับไปดูในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา รายได้ภาษีต่อจีดีพีของไทยอยู่ระดับต่ำมาโดยตลอด ทำให้ต้องขาดดุลงบประมาณมาตลอด

ขณะที่รายจ่ายทางด้านสวัสดิการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดปี 2566 จะมีค่าใช้จ่ายสวัสดิการถึง 3 ล้านล้านบาท และปี 2585 จะสูงถึง 6.5 ล้านล้านบาท

โดยภาษี นอกจากเป็นแหล่งรายได้ ยังเป็นเครื่องมือรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้วย เช่น การปรับเพิ่มภาษี เพื่อช่วยแก้ปัญหาเงินเฟ้อ รวมถึงเป็นเครื่องมือในการกระจายรายได้ด้วย ซึ่งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้

อย่างไรก็ดี หากดูสถานการณ์การจัดเก็บรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปี 2564 เก็บได้ 3.38 แสนล้านบาท หรือ 12.2% ของรายได้ภาษีทั้งหมด แต่ถ้าไปดูอัตราการเพิ่มขึ้นเฉลี่ย ช่วงปี 2556-2564 จะพบว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยแค่ปีละ 1.6% เท่านั้น ซึ่งต่ำมาก

“ปี 2564 มีผู้ยื่นแบบฯ ทั้งสิ้น 10.8 ล้านคน แต่มีผู้จ่ายภาษีแค่ 4.2 ล้านคน คือจ่ายแค่ 38% เท่านั้น และส่วนใหญ่มาจาก ภ.ง.ด.91 คือผู้มีเงินได้ประจำถึง 2.8 ล้านคน อีก 1.4 ล้านคนมาจาก ภ.ง.ด.90”

ทั้งนี้ การเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของไทย ถือว่าเก็บได้น้อยมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ใน OECD

“มีการศึกษาว่า ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของไทยยังไม่ได้ช่วยในเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำได้เท่าไหร่นัก ซึ่งปัญหาหนึ่งที่เราพบก็คือ แรงงานไทยเกือบ 3 ใน 4 อยู่นอกระบบภาษี ซึ่งจากการสำรวจแรงงานมีรายได้ที่ถึงเกณฑ์เสียภาษี 19 ล้านคน แต่ข้อมูลสรรพากรพบว่า ยื่นแบบฯ แค่ 10.8 ล้านคน”

นอกจากนี้ การหักค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อนต่าง ๆ ก็พบว่ากลุ่มผู้มีรายได้สูง หรือมีรายได้พึงประเมินตั้งแต่ 4 ล้านบาทขึ้นไป จะได้รับประโยชน์มากกว่า กลุ่มที่มีรายได้ระดับปานกลาง ทั้งในแง่การหักค่าใช้จ่าย และการหักลดหย่อนภาษี

คนนอกระบบภาษี

นางสาววรวรรณกล่าวว่า ข้อเสนอแนะของ สศช.คือ

1.ต้องมีมาตรการในการนำคนทุกกลุ่มเข้ามาอยู่ในระบบภาษี โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานนอกระบบ โดยปรับปรุงกฎหมายที่เป็นข้อจำกัดในการเข้าระบบภาษีของคนบางกลุ่ม เพื่อให้ผู้มีเงินได้ทุกคนเข้าสู่ระบบภาษี ทั้งนี้ นอกจากจะทำให้รัฐสามารถจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้มากขึ้นแล้ว ยังจะเป็นประโยชน์ให้รัฐมีฐานข้อมูลสำหรับจัดทำนโยบายและมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ อีกด้วย

2.ทบทวนการยกเว้นภาษีให้แก่รายได้บางประเภท เนื่องจากการกำหนดให้มีการยกเว้นในอดีตนั้นเป็นไปเพื่อหวังผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือสังคมบางประการ ซึ่งควรมีการทบทวนถึงความจำเป็นที่สอดคล้องกับยุคปัจจุบัน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและไม่เป็นการเอื้อประโยชน์กลุ่มคนเพียงบางกลุ่ม

3.ทบทวนสิทธิประโยชน์การหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน พิจารณาทบทวนเกณฑ์การหักค่าใช้จ่ายและอัตราลดหย่อนให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น โดยที่ยังสามารถช่วยแบ่งเบาภาระประชาชนได้ และไม่ทำให้รัฐสูญเสียรายได้มากเกินจำเป็น อีกทั้งจะต้องทบทวนรายการลดหย่อนบางประการที่อาจเอื้อต่อผู้มีรายได้สูงมากเกินไป

และ 4.สื่อสารให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญของการจ่ายภาษี โดยการกำหนดนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง เนื่องจากการใช้งบประมาณเพื่อการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น จะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญของการจ่ายภาษี อันจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มมากขึ้น