กองหุ้นต่างประเทศฟื้น ส่อง 5 อันดับผลตอบแทนบวกสูง

กองทุนหุ้นต่างประเทศ

ปัจจุบันโลกการลงทุนมีความผันผวนค่อนข้างมาก มองย้อนกลับไปในปี 2564 การลงทุนในต่างประเทศได้รับความสนใจอย่างมาก สะท้อนจากผลตอบแทนกองทุนต่างประเทศ เกือบทุกกองที่เป็นบวกตลอดทั้งปี ขณะที่ในปี 2565 ตลาดเผชิญปัจจัยกดดัน ตั้งแต่ต้นปีจนผลตอบแทนติดลบอย่างรุนแรง ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน

มาปี 2566 นี้ ดูเหมือนแนวโน้มการลงทุนในต่างประเทศเริ่มกลับมาสดใสอีกครั้ง ตลาดเริ่มฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงยังคงมีอยู่

โดย “ชญานี จึงมานนท์” นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัจจุบันมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนรวมต่างประเทศ (ไม่รวม term fund) อยู่ที่ราว 9.6 แสนล้านบาท (ณ 28 ก.พ. 2566) เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2565 ที่ระดับ 9.2 แสนล้านบาท

ซึ่งกลุ่มกองทุนที่มีเงินไหลเข้าสะสมสูงสุด คือ กองทุนตราสารหนี้ทั่วโลก (Global Bond) ราว 1.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่กลุ่มกองทุนหุ้นญี่ปุ่น (Japan Equity) มีเงินไหลออกสะสมสูงสุด 1,800 ล้านบาท

ขณะที่กลุ่มกองทุนที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุด นำโดย กองทุนเทคโนโลยีทั่วโลก (Global Technology) ผลตอบเเทนตั้งแต่ต้นปีถึง ณ 28 ก.พ. 2566 (YTD) อยู่ที่ 12.9% ตามด้วยกองทุนหุ้นยุโรป (Europe Equity) ผลตอบเเทน YTD อยู่ที่ 9.6% กองทุนหุ้นสหรัฐ (US Equity) ผลตอบแทน YTD อยู่ที่ 7.2% รวมถึงกองทุนหุ้นญี่ปุ่น (Japan Equity) และกองทุนหุ้นทั่วโลก (Global Equity) ผลตอบแทน YTD ออกมาเท่ากันอยู่ที่ 4.1% (ดูตาราง)

ตร.กองทุน

“ชญานี” กล่าวว่า ประเด็นเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยยังคงเป็นปัจจัยที่กระทบการลงทุนปีนี้ และแนวโน้มล่าสุด ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะคงดอกเบี้ยสูงและอาจไม่ลดดอกเบี้ยในปีนี้

“จะเริ่มเห็นการเข้าลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ขณะกองทุนหุ้นมีการฟื้นตัวขึ้นมาในช่วงเดือน ม.ค. โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นเติบโต เช่น เทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม การคงดอกเบี้ยไว้สูง จะเป็นปัจจัยที่กดดันต่อตลาดหุ้นได้ ดังที่เกิดขึ้นในช่วงเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา” ชญานีกล่าว

ขณะที่ “ยิ่งยง เจียรวุฑฒิ” รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปีนี้การลงทุนในต่างประเทศน่าจะมีแนวโน้มที่กลับมาอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยปีนี้ยังคงเน้นไปที่หุ้นมากกว่าตราสารหนี้ เนื่องจากคาดว่าการลงทุนในหุ้นน่าจะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีกว่าในบางเซ็กเตอร์

“ในระยะ 2-3 เดือนข้างหน้า บลจ.อีสท์สปริง มีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐในส่วนของกลุ่มเทคโนโลยี ตลาดหุ้นยุโรป ตลาดหุ้นจีน รวมถึงตลาดหุ้นเวียดนาม แม้ว่าอาจจะเป็นตลาดที่หลายคนกังวล แต่เรายังมีมุมมองเป็นบวกพอสมควร รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าแบรนด์เนมซึ่งน่าจะได้อานิสงส์จากการที่จีนเปิดประเทศ”

“ยิ่งยง” กล่าวอีกว่า ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงสร้างความกังวลต่อการลงทุนในปีนี้ หลัก ๆ คือ เรื่องของการดำเนินนโยบายของเฟด ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยต่อหรือไม่ แล้วหากขึ้นต่อจะขึ้นไปอีกเท่าไหร่ ขณะที่เรื่องอื่น ๆ มองว่า นักลงทุนรับรู้ข่าวไปค่อนข้างมากแล้ว ส่วนเรื่องเศรษฐกิจถดถอย ดูเหมือนว่าจะเลื่อนออกไปปลายปีนี้ หรือต้นปี 2567 ทำให้ตลาดยังคงแกว่งตัวอยู่สักระยะ

“กว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอยต้องใช้เวลาสักพัก ซึ่งตลาดเองมักจะรับรู้ก่อนซึ่งทำให้เกิดความกังวลขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม จากตลาดหุ้นที่ติดลบรุนแรงในปีที่แล้ว จะกลับมาดีขึ้นแน่นอนในปีนี้” ยิ่งยงกล่าว

ฟาก “กสิณ สุธรรมมนัส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด กล่าวว่า โดยภาพรวมยังเห็นว่านักลงทุนบางกลุ่มค่อนข้างที่จะยังมีความกล้า ๆ กลัว ๆ อยู่พอสมควรในการลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม โมเมนตัมการลงทุนปีนี้มีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

“ปีนี้ถ้าเป็นตลาดที่ชอบคือ ตลาดหุ้นจีน กับตลาดหุ้นเวียดนาม ที่น่าจะฟื้นตัวได้ดี โดยเฉพาะตลาดหุ้นเวียดนามที่จะเห็นว่าฟันด์โฟลว์ที่เคยไหลออกเริ่มชะลอตัวลง และหากมีฟันด์โฟลว์ทยอยไหลกลับเข้าไป ก็จะเสริมตลาดเวียดนามให้ปรับตัวขึ้นไปได้อีก รวมถึงโครงสร้างของประเทศเวียดนามที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่ง 2 ตลาดนี้ก็เป็นตลาดหุ้นที่เเนะนำให้ทยอยเข้าลงทุนได้เลยในปีนี้ โดยเฉพาะในระยะนี้มองว่าเป็นจังหวะดีที่จะเข้าไปสะสม” กสิณกล่าว

นอกจากนี้ สินทรัพย์อีกประเภทหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ตราสารหนี้ ซึ่งในปีที่ผ่านมาผลตอบแทนตราสารหนี้มีความผันผวนค่อนข้างมาก แต่ปัจจุบันความผันผวนในตราสารหนี้ลดน้อยลงไปมาก ซึ่งนักลงทุนสามารถเข้าลงทุนในตราสารหนี้และสามารถถือไว้เป็น core port ได้เลย

ส่วนความเสี่ยงจากสงคราม แม้ว่าจะเบาบางลง แต่ยังเห็นแนวโน้มที่ยังยืดเยื้อ และน่าจะเป็นเรื่องที่จะอยู่รอบ ๆ ตัวนักลงทุนไปตลอดทั้งปี

“เรื่องที่ต้องระวังคือ ตลาดหุ้นเพิ่งเริ่มฟื้นจากทั้งโควิด-19 สงครามและดอกเบี้ย ดังนั้นตลาดที่เห็นว่าปรับตัวขึ้นมาในช่วงต้นปี ตอนนี้ก็เริ่มปรับลงแล้ว ดังนั้น market timing จะเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งนักลงทุนต้องจับจังหวะตลาดให้ดี” กสิณกล่าว

การลงทุนท่ามกลางโลกที่ผันผวนอย่างเช่นทุกวันนี้ นักลงทุนคงต้องใช้ความระมัดระวัง โดยศึกษาหาข้อมูลอย่างรอบด้าน และพิจารณาลงทุนตามศักยภาพ ตัวเองที่สามารถรับความเสี่ยงได้