วิกฤตแบงก์สหรัฐล้ม ทุบตลาดหุ้นไทยดิ่งหนัก 2 วัน ร่วงกว่า 75 จุด

หุ้นไทย ‘ขาลง’

วิกฤตแบงก์สหรัฐล้ม ทุบตลาดหุ้นไทยดิ่งหนัก 2 วันร่วงกว่า 75 จุด บล.กสิกรไทย มอง SET Index พักฐานรอตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐคืนนี้ กาง 3 กรณีตั้งรับภาวะตลาดทุนผันผวน

วันที่ 14 มีนาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 วันทำการที่ผ่านมา (13-14 มี.ค.) พบว่าดัชนี SET Index ปรับตัวลงไปกว่า 75.76 จุด โดยในวันที่ 13 มี.ค. ทำจุดต่ำสุดที่บริเวณ 1,572.65 จุด ลดลงกว่า 27 จุด ปิดตลาดอยู่ที่ 1,573.07 จุด ลดลง 26.58 จุด หรือลดลง 1.66% จากดัชนีวันก่อนหน้า มีมูลค่าการซื้อขายรวม 79,662 ล้านบาท

และในวันที่ 14 มี.ค. ทำจุดต่ำสุดที่บริเวณ 1,518.66 จุด ลดลงกว่า 54.41 จุด โดยปิดตลาดอยู่ที่ 1,523.89 จุด ลดลง 49.18 จุด หรือลดลงกว่า 3.13% จากดัชนีวันก่อนหน้า มีมูลค่าการซื้อขายรวม 103,833 ล้านบาท

โดยวันนี้พบว่าหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย 1.บมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มีจำนวน 6,398 ล้านบาท ราคาหุ้นลดลงกว่า 1.17% 2.บมจ.เอสซีบี เอกซ์ (SCB) มีมูลค่าซื้อขาย 4,110 ล้านบาท ราคาหุ้นลดลงกว่า 2.26% 3.บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) จำนวน 3,495 ล้านบาท ราคาหุ้นลดลงกว่า 3.63%

4.บมจ.ปตท (PTT) มีมูลค่าซื้อขาย 3,335 ล้านบาท ราคาหุ้นลดลงกว่า 2.48% และ 5.บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) มูลค่าซื้อขาย 3,318 ล้านบาท ราคาหุ้นลดลงกว่า 2.21%

ทั้งนี้สาเหตุเป็นผลจากความกังวลวิกฤต silicon valley bank จะลุกลามไปยังสถาบันการเงินอื่น ๆ สะท้อนผ่านแรงขายในกลุ่มสถาบันการเงินในสหรัฐ และยุโรป ยังรุนแรงต่อเนื่อง อาทิ หุ้นของธนาคาร First Republic bank ของสหรัฐลดลง 61% ขณะที่กลุ่มธนาคารในยุโรปลดลงหลัง CDS ของ Credit Suisse เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์

นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า วันนี้ถือว่า SET Index ปรับฐานแรง ร่วงเกือบ 50 จุด โดยเรามองว่าคีย์สำคัญตลาดคงรอการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ (CPI) ที่จะออกมาในคืนนี้ โดยกสิกรฯแบ่งสมมติฐานออกเป็น 3 กรณีคือ

1.Worst case (เงินเฟ้อสหรัฐมากกว่า 6% มองแนวรับ 1,515 จุด แนะนำตราสารหนี้, ทองคำ กองรีท และหุ้น Defensive 2.Base case (เงินเฟ้อสหรัฐตามคาดที่ 6% มองแนวรับ 1,555-1,585 จุด แนะนำหุ้นโรงไฟฟ้า

และ 3.Best case (เงินเฟ้อสหรัฐต่ำกว่า 6% เชื่อว่าหุ้นจะกลับมารีบาวนด์ และหลังจากนั้นจะค่อย ๆ มีโอกาสขึ้นไปทะลุ 1,600 จุดอีกรอบหนึ่งได้ แนะนำหุ้น High Quality Growth เช่น KLINIQ, BE8, SNNP)

โดยเรามองการประชุมเฟดช่วงวันที่ 21-22 มี.ค.2566 หากตัวเลขเงินเฟ้อออกมาตามกรณี Worst case และ Base case คาดว่าเฟดน่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% แต่หากออกมาต่ำคาด และหากเกิดวิกฤตแบงก์สหรัฐเริ่มลุกลามไปสถาบันการเงินอื่น ๆ คนเริ่มแห่ถอนเงิน (bank run) มากขึ้น มีโอกาสที่เฟดอาจจะเห็นการคงดอกเบี้ยเหมือนที่ตลาดเริ่มให้น้ำหนักมากขึ้น