อีไอซี ประเมินวิกฤตสถาบันการเงินล้ม ไม่ลุกลามกระทบไทย เหตุ “ฐานะการเงินแกร่ง-เงินกองทุนสูง-ไม่ทำธุรกิจเสี่ยง” ชี้ทางการสหรัฐ-ยุโรป” แก้ปัญหาไว มอง เฟด-กนง.ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อ ปรับนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติ
วันที่ 17 มีนาคม 2566 ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร และรองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) ในสหรัฐ และธนาคารเครดิต สวิส (Credit Suisse) ในยุโรปนั้น
- ขาลงยางพารา ราคาร่วงฉุดไม่อยู่ 10 วันราคาตกลงไปแล้ว 7 บาทกว่า
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 1 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- ออมสิน ฉลองครบวาระ 111 ปี จัดเต็ม สลากออมสินลุ้นรางวัลใหญ่ 111 ล้านบาท
มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความเสี่ยงแบบเฉพาะเจาะจง (Specifc Risk) ของภาคการเงิน ซึ่งเบื้องต้นมองว่าในท้ายที่สุดความเสี่ยงที่จะลุกลามจนเกิดวิกฤตการเงินโลกเหมือนในปี 2551 ยังคงมีน้อย และสิ่งที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นกับไทยคงไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี ธนาคารไม่ได้นิ่งนอนใจและยังคงติดตามสถานการณ์อยู่
ทั้งนี้ สาเหตุที่มองว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นกับไทย จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ประการคือ 1.ฐานะเงินกองทุนของไทยอยู่ในระดับสูง 2.ธนาคารไทยไม่ได้ทำธุรกิจในลักษณะดียวกับสถาบันการเงินที่มีปัญหา และ 3.การลุกลามจะไม่เกิดขึ้น เพราะ Capital ของไทยถือว่าสูงกว่าเมื่อเทียบกับยุโรป
อย่างไรก็ดี หากดูภายใต้ปัจจัยที่จะส่งผลให้สถานการณ์เกิดการลุกลามได้นั้น จะต้องเกิดขึ้น 2 ข้อคือ
- เกิดภาวะ Bank Run ต่อเนื่อง
- ความช่วยเหลือเพียงพอหรือไม่ ซึ่งหากมองไปข้างหน้า So Far ปัจจุบันถือว่าออกมาค่อนข้างเร็ว
โดยหากทั้ง 2 ข้อเกิดขึ้นจะส่งผลให้สถานการณ์ลุกลามต่อได้ และหากเกิดการลุกลามของสถานการณ์จะเห็นผลกระทบ 4 ช่องทางด้วยคือ
- เงินทุนไหลออกรุนแรงจากภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk off) เทขายสินทรัพย์และไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย ราคาสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น high yield bond ลดลงรุนแรง
- นโยบายการเงินมีความแตกต่างกันมากขึ้น โดยจะเห็นธนาคารกลางบางประเทศเร่งขึ้นดอกเบี้ย บางประเทศลดดอกเบี้ย ซึ่งปัจจัยนี้จะสร้างความผันผวน และไทยจะทนได้หรือไม่
- ภาวะการเงินตึงตัวขึ้น โดยเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อในประเทศมีความเข้มงวดมากขึ้นตามความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น การขาดสภาพคล่องในตลาดการเงินโลก ซึ่งจะมีผลต่อการเติบโตของสินเชื่อและการลงทุน
- การส่งออกหดตัวตามอุปสงค์การนำเข้า โดยเฉพาะสหรัฐและสหภาพยุโรปที่จะลดลงตามภาวะการเงินตึงตัวและเศรษฐกิจถดถอย
“มองว่าปัญหาโดมิโนจะไม่เกิดขึ้นภายใต้ดอกเบี้ยขาขึ้น เพราะสะท้อนได้จากธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ที่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% แสดงว่ามีความมั่นใจ และมองว่าการเปลี่ยนนโยบายการเงินหรือไดเร็กชั่นก็อาจจะยุ่งยาก เพราะวันนี้จะเห็นว่าเขาสามารถแก้ปัญหาได้แล้ว แต่แน่นอนสิ่งที่เกิดขึ้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้อีก และตอนนี้ตลาดก็จับจ้องว่าจะมีธนาคารไหนที่มีความเปราะบาง และลดน้ำหนักลง
ดังนั้น ถามว่าในระยะสั้นอาจจะมีความผันผวนได้ แต่เชื่อว่าประเทศไทยสามารถผ่านไปได้ เพราะตั้งแต่วิกฤตซับไพร์มที่ค่อนข้างใหญ่สถาบันการเงินไทยก็รอด เพราะเรามีบทเรียนตั้งแต่ปี 40 หากมีปัญหาอีกก็น่าจะผ่านได้”
ดังนั้น ประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้ง โดยจะปรับขึ้นครั้งละ 0.25% ต่อปี เช่นเดียวกับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้ง ไปอยู่ที่ระดับ 2.00% ต่อปี โดยในรอบการประชุมนี้ยังคงปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวชัดเจนตามแรงส่งภาคการท่องเที่ยวและบริการ จึงเป็นการทยอยปรับนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ เพราะหากไปปรับในระยะข้างหน้าอาจจะเป็นการกระชากเกินไป