ปี 2566 นี้ เป็นอีกปีที่ตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญกับความผันผวนหนักมาก โดยต้นปีดัชนี SET ทำท่าจะไปได้ดี แต่ไม่นานก็ตกลง กระทั่งฟผลตอบแทนออกมาแย่สุดในรอบ 3 ปี นับจากที่เกิดโรคระบาดโควิด-19 ล่าสุด ต่างชาติเทขายสุทธิหุ้นไทยไปกว่า 1.76 แสนล้านบาทแล้ว ซึ่งถึงขณะนี้เหลือเวลาอีกแค่ 1 เดือนเศษ คงคาดหวังอะไรไม่ได้มาก และนักลงทุนก็คงมองไปถึงในปีหน้า (2567) กันแล้ว
ปี 2567 หุ้นทั่วโลกกลับสู่ขาขึ้น
โดยในงานสัมมนา “โอกาสหุ้นไทย ภายใต้เศรษฐกิจโลกผันผวน” ที่สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมกันจัดขึ้น
- “มะพร้าว” ราคาพุ่งเป็นประวัติการณ์ ลูกเดียว 65-80 บาท เกิดอะไรขึ้น?
- บริษัทดังประกาศปิดกิจการ ทุกสาขาทั่วประเทศ เลิกจ้างหลายชีวิต
- หุ้นกู้ออกใหม่ 12 บริษัทดัง เปิดขายเดือน พ.ค.นี้ ชูดอกเบี้ยสูงสุด 7.20%
“ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด ในฐานะนายกสมาคม IAA กล่าวว่า ปี 2566 เป็นปีที่ดีสำหรับตลาดหุ้นโลก ในขณะที่ผลตอบแทนตลาดหุ้นไทย เกือบจะแย่สุดในโลก ติดลบไปกว่า 15% อย่างไรก็ดี ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ภาวะเงินเฟ้อไม่น่าจะมีปัญหาแล้ว ประกอบกับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะใกล้จบรอบวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น
“คาดว่ากลางปี 2567 เป็นต้นไป เฟดน่าจะเริ่มมองการลดดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นจุดกลับที่จะเกิดแรงกระตุ้นให้เงินเข้ากลับสู่ตลาดหุ้น และหัวใจสำคัญคือกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ทั่วโลกมีทิศทางดีขึ้น ช่วงไตรมาส 3/2566 ติดลบน้อยลง ประกอบกับนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าในปี 2567 ตลาดหุ้นทั่วโลกจะกลับสู่ขาขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (emerging market) จะเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุด ซึ่งตลาดหุ้นไทยเป็นส่วนหนึ่งของ emerging market”
ต้องสร้างความเชื่อมั่น
ทั้งนี้ พื้นฐานของตลาดหุ้นไทยถือว่ายังดีอยู่ อาจจะติดอยู่แค่นโยบายเศรษฐกิจยังสร้างความมั่นใจไม่ได้ แต่เริ่มดีขึ้นต่อเนื่อง เพราะหลายนโยบายทางรัฐบาลเริ่มฟังเสียงของผู้ท้วงติงมากขึ้น อาทิ โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท ที่รูปแบบเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศมากขึ้น
“ปีหน้า เศรษฐกิจโลก ถ้าเริ่มนิ่งกว่านี้ จะช่วยภาพส่งออกไทยที่วันนี้เริ่มดูดีขึ้น และหากปีหน้าส่งออกเติบโตได้ต่อเนื่องจะเป็นตัวช่วยสำคัญ เพราะปีนี้ไทยไม่มีปัญหาเงินเฟ้อ ไม่มีปัญหาดอกเบี้ย มีปัญหาแค่ความมั่นใจของนักลงทุนเท่านั้น”
SET รีบาวนด์กำไรตลาดพุ่ง
ขณะที่ในการพูดคุยในหัวข้อ “เจาะโอกาสลงทุนหุ้นไทย ในมุมมองนักวิเคราะห์” ของ 2 บริษัทหลักทรัพย์ ก็น่าจะเป็นข้อมูลที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในระยะต่อไปได้ดี
โดย “เกษม พันธ์รัตนมาลา” CFA อุปมานายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กรรมการและผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีโอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปีหน้า คาดจะมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยเศรษฐกิจจะสามารถเติบโตขึ้นได้จากภาคการท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 35 ล้านคน และน่าจะโตได้อย่างต่อเนื่อง
ส่วนการลงทุนของภาครัฐ จะสามารถฟื้น (รีบาวนด์) ได้ในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากนโยบายรัฐบาลยังมีความไม่ชัดเจนอยู่ในช่วงแรก
“ส่วนนี้จะส่งผลให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ 1-2% รวมถึงภาคการส่งออกจะกลับมาเป็นบวก ซึ่งจะทำให้ภาคการผลิตจะมีการจ้างแรงงานมากขึ้น การอุปโภคบริโภคก็จะดีด้วย ส่งผลให้ผลประกอบการของธุรกิจต่าง ๆ ดีขึ้น”
ทั้งนี้ ซีจีเอสฯ ประเมินว่า กำไรตลาดหลักทรัพย์ฯ ปีหน้าจะโตได้ 13% ซึ่งดัชนีก็น่าจะรีบาวนด์กลับขึ้นมาได้พอสมควร จากที่ในปีนี้ SET Index ลดลงมาแล้ว 15%
นโยบายรัฐบาลชัดขึ้นหนุนตลาด
“เกษม” กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับแรงขายของนักลงทุนต่างชาติมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงก่อนเลือกตั้งจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากแม้ว่าจะมีรัฐบาลแล้ว แต่แผนการดำเนินการตามนโยบายต่าง ๆ ยังไม่ชัดเจน รวมทั้ง นโยบายหลายอย่างอาจกระทบต่อภาคธุรกิจ สะท้อนจากหุ้นหลายกลุ่มที่ปรับตัวลง ทำให้นักลงทุนกังวลว่านโยบายจะกระทบกับการดำเนินงานของบริษัทเหล่านั้น อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่า ปีหน้านโยบายรัฐบาลจะมีความชัดเจนมากขึ้น
นอกจากนี้ แม้ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติจะมีการขายสุทธิหุ้นไทยออกไปมาก แต่ก็มีการซื้อสุทธิในกลุ่มเฮลท์แคร์ ขณะที่เงินที่อยู่ในประเทศก็กระจายไปสู่กลุ่มต่าง ๆ โดย 5 กลุ่มแรกที่ต่างชาตินิยมเข้าลงทุน ได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก กลุ่มเฮลท์แคร์ กลุ่มโรงแรม และกลุ่มน้ำมัน
“ถ้านโยบายต่าง ๆ มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งผมคิดว่ามันต้องชัดเจนมากขึ้นอยู่แล้ว จะทำให้ปีหน้าเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจจะค่อย ๆ เดิน แม้ปีนี้มันจะไม่เดินเท่าไหร่ ก็จะทำให้ผลประกอบการธุรกิจต่าง ๆ ดีขึ้นตามไปด้วยในปีหน้า”
หุ้นได้ประโยชน์ “แลนด์บริดจ์”
ขณะที่ “กรภัทร วรเชษฐ์” หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนะนำลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อย่างโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งรัฐบาลเริ่มพูดถึงการลงทุน เพิ่มเติมมูลค่า 1.5 ล้านล้านบาท เพื่ออนุมัติงบประมาณให้กับโครงการที่ยังค้างท่ออยู่
“โครงการแลนด์บริดจ์ จะสามารถทำให้ศักยภาพการผลิตและการขนส่งปี 2567 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยหุ้นที่จะได้ประโยชน์ ประกอบด้วย WICE, LEO, SJWD, WHA, AMATA, STEC, CK”
ชี้หุ้นไทยถูกมากแล้ว-น่าลงทุน
ทั้งนี้ หุ้นที่จะอยู่ในวัฏจักรขาขึ้นในปีหน้า ได้แก่ ปิโตรเคมี อุตสาหกรรมเหล็ก โดยหุ้นไทยที่จะได้ประโยชน์ คือ KCE, GULF, ERW, CPALL, MAJOR, WHA, SCGP ขณะที่ปัจจัยต่าง ๆ ที่กดดันการลงทุนตลาดหุ้นไทยเริ่มลดลง ทั้งอัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) ที่อยู่ในระดับสูงที่สุดแล้ว
“ตลาดหุ้นไทยตอนนี้ถูกมากแล้ว นักลงทุนควรกลับมามองโอกาสลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงบ้านเรา ทั้งระยะกลางและระยะยาว ยังสามารถสร้างความมั่งคั่งและสภาพคล่องการเงินได้ โดยเฉพาะการเข้าซื้อจุดที่เป็น value zone”
จับตาแจกเงินดิจิทัลปลุกเชื่อมั่น
“กรภัทร” กล่าวอีกว่า การแจกเงินในนโยบายดิจิทัลวอลเลตของรัฐบาลยังต้องติดตามแหล่งที่มาของเงิน ขอบเขตการใช้จ่ายและกลุ่มเป้าหมายที่รัฐบาลต้องชัดเจน ซึ่งถ้ามีรายละเอียดออกมา ตลาดจะเข้าใจและมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ตนมองว่าโครงการนี้ไม่ควรใช้งบฯ ถึง 5.6 แสนล้านบาท เนื่องจากการวิจัยพบว่ากลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 บาท ส่วนใหญ่จะมีการ ใช้จ่ายมากกว่า 100% หรือมีภาระหนี้จากการกู้ยืม ถ้าได้รับเงิน 10,000 บาท จะช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวก
“ถ้ารัฐบาลเลือกทางเลือกที่กำหนดกรอบเงื่อนไขตรงจุด เม็ดเงินที่ใช้อาจจะไม่มากและจะเกิดประสิทธิผลมากกว่าด้วยซ้ำ”
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่คาดหวังกันว่า หมอกควันที่ปกคลุมตลาดหุ้นไทยในปีนี้ จะจางลงในปีหน้า และอะไร ๆ น่าจะดีขึ้น