หุ้นไทยลุ้นปีหน้าฟ้าใหม่ หมอกจาง “กำไรฟื้น-ดัชนีรีบาวนด์”

หุ้นไทย

ปี 2566 นี้ เป็นอีกปีที่ตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญกับความผันผวนหนักมาก โดยต้นปีดัชนี SET ทำท่าจะไปได้ดี แต่ไม่นานก็ตกลง กระทั่งฟผลตอบแทนออกมาแย่สุดในรอบ 3 ปี นับจากที่เกิดโรคระบาดโควิด-19 ล่าสุด ต่างชาติเทขายสุทธิหุ้นไทยไปกว่า 1.76 แสนล้านบาทแล้ว ซึ่งถึงขณะนี้เหลือเวลาอีกแค่ 1 เดือนเศษ คงคาดหวังอะไรไม่ได้มาก และนักลงทุนก็คงมองไปถึงในปีหน้า (2567) กันแล้ว

ปี 2567 หุ้นทั่วโลกกลับสู่ขาขึ้น

โดยในงานสัมมนา “โอกาสหุ้นไทย ภายใต้เศรษฐกิจโลกผันผวน” ที่สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมกันจัดขึ้น

“ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด ในฐานะนายกสมาคม IAA กล่าวว่า ปี 2566 เป็นปีที่ดีสำหรับตลาดหุ้นโลก ในขณะที่ผลตอบแทนตลาดหุ้นไทย เกือบจะแย่สุดในโลก ติดลบไปกว่า 15% อย่างไรก็ดี ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ภาวะเงินเฟ้อไม่น่าจะมีปัญหาแล้ว ประกอบกับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะใกล้จบรอบวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น

“คาดว่ากลางปี 2567 เป็นต้นไป เฟดน่าจะเริ่มมองการลดดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นจุดกลับที่จะเกิดแรงกระตุ้นให้เงินเข้ากลับสู่ตลาดหุ้น และหัวใจสำคัญคือกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ทั่วโลกมีทิศทางดีขึ้น ช่วงไตรมาส 3/2566 ติดลบน้อยลง ประกอบกับนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าในปี 2567 ตลาดหุ้นทั่วโลกจะกลับสู่ขาขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (emerging 
market) จะเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุด ซึ่งตลาดหุ้นไทยเป็นส่วนหนึ่งของ emerging market”

ต้องสร้างความเชื่อมั่น

ทั้งนี้ พื้นฐานของตลาดหุ้นไทยถือว่ายังดีอยู่ อาจจะติดอยู่แค่นโยบายเศรษฐกิจยังสร้างความมั่นใจไม่ได้ แต่เริ่มดีขึ้นต่อเนื่อง เพราะหลายนโยบายทางรัฐบาลเริ่มฟังเสียงของผู้ท้วงติงมากขึ้น อาทิ โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท ที่รูปแบบเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศมากขึ้น

“ปีหน้า เศรษฐกิจโลก ถ้าเริ่มนิ่งกว่านี้ จะช่วยภาพส่งออกไทยที่วันนี้เริ่มดูดีขึ้น และหากปีหน้าส่งออกเติบโตได้ต่อเนื่องจะเป็นตัวช่วยสำคัญ เพราะปีนี้ไทยไม่มีปัญหาเงินเฟ้อ ไม่มีปัญหาดอกเบี้ย มีปัญหาแค่ความมั่นใจของนักลงทุนเท่านั้น”

SET รีบาวนด์กำไรตลาดพุ่ง

ขณะที่ในการพูดคุยในหัวข้อ “เจาะโอกาสลงทุนหุ้นไทย ในมุมมองนักวิเคราะห์” ของ 2 บริษัทหลักทรัพย์ ก็น่าจะเป็นข้อมูลที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในระยะต่อไปได้ดี

โดย “เกษม พันธ์รัตนมาลา” CFA อุปมานายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กรรมการและผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีโอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปีหน้า คาดจะมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยเศรษฐกิจจะสามารถเติบโตขึ้นได้จากภาคการท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 35 ล้านคน และน่าจะโตได้อย่างต่อเนื่อง

ส่วนการลงทุนของภาครัฐ จะสามารถฟื้น (รีบาวนด์) ได้ในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากนโยบายรัฐบาลยังมีความไม่ชัดเจนอยู่ในช่วงแรก

“ส่วนนี้จะส่งผลให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ 1-2% รวมถึงภาคการส่งออกจะกลับมาเป็นบวก ซึ่งจะทำให้ภาคการผลิตจะมีการจ้างแรงงานมากขึ้น การอุปโภคบริโภคก็จะดีด้วย ส่งผลให้ผลประกอบการของธุรกิจต่าง ๆ ดีขึ้น”

ทั้งนี้ ซีจีเอสฯ ประเมินว่า กำไรตลาดหลักทรัพย์ฯ ปีหน้าจะโตได้ 13% ซึ่งดัชนีก็น่าจะรีบาวนด์กลับขึ้นมาได้พอสมควร จากที่ในปีนี้ SET Index ลดลงมาแล้ว 15%

นโยบายรัฐบาลชัดขึ้นหนุนตลาด

“เกษม” กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับแรงขายของนักลงทุนต่างชาติมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงก่อนเลือกตั้งจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากแม้ว่าจะมีรัฐบาลแล้ว แต่แผนการดำเนินการตามนโยบายต่าง ๆ ยังไม่ชัดเจน รวมทั้ง
นโยบายหลายอย่างอาจกระทบต่อภาคธุรกิจ สะท้อนจากหุ้นหลายกลุ่มที่ปรับตัวลง ทำให้นักลงทุนกังวลว่านโยบายจะกระทบกับการดำเนินงานของบริษัทเหล่านั้น อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่า ปีหน้านโยบายรัฐบาลจะมีความชัดเจนมากขึ้น

นอกจากนี้ แม้ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติจะมีการขายสุทธิหุ้นไทยออกไปมาก แต่ก็มีการซื้อสุทธิในกลุ่มเฮลท์แคร์ ขณะที่เงินที่อยู่ในประเทศก็กระจายไปสู่กลุ่มต่าง ๆ โดย 5 กลุ่มแรกที่ต่างชาตินิยมเข้าลงทุน ได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก กลุ่มเฮลท์แคร์ กลุ่มโรงแรม และกลุ่มน้ำมัน

“ถ้านโยบายต่าง ๆ มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งผมคิดว่ามันต้องชัดเจนมากขึ้นอยู่แล้ว จะทำให้ปีหน้าเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจจะค่อย ๆ เดิน แม้ปีนี้มันจะไม่เดินเท่าไหร่ ก็จะทำให้ผลประกอบการธุรกิจต่าง ๆ ดีขึ้นตามไปด้วยในปีหน้า”

หุ้นได้ประโยชน์ “แลนด์บริดจ์”

ขณะที่ “กรภัทร วรเชษฐ์” หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนะนำลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อย่างโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งรัฐบาลเริ่มพูดถึงการลงทุน เพิ่มเติมมูลค่า 1.5 ล้านล้านบาท เพื่ออนุมัติงบประมาณให้กับโครงการที่ยังค้างท่ออยู่

“โครงการแลนด์บริดจ์ จะสามารถทำให้ศักยภาพการผลิตและการขนส่งปี 2567 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยหุ้นที่จะได้ประโยชน์ ประกอบด้วย WICE, LEO, SJWD, WHA, AMATA, STEC, CK”

ชี้หุ้นไทยถูกมากแล้ว-น่าลงทุน

ทั้งนี้ หุ้นที่จะอยู่ในวัฏจักรขาขึ้นในปีหน้า ได้แก่ ปิโตรเคมี อุตสาหกรรมเหล็ก โดยหุ้นไทยที่จะได้ประโยชน์ คือ KCE, GULF, ERW, CPALL, MAJOR, WHA, SCGP ขณะที่ปัจจัยต่าง ๆ ที่กดดันการลงทุนตลาดหุ้นไทยเริ่มลดลง ทั้งอัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) ที่อยู่ในระดับสูงที่สุดแล้ว

“ตลาดหุ้นไทยตอนนี้ถูกมากแล้ว นักลงทุนควรกลับมามองโอกาสลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงบ้านเรา ทั้งระยะกลางและระยะยาว ยังสามารถสร้างความมั่งคั่งและสภาพคล่องการเงินได้ โดยเฉพาะการเข้าซื้อจุดที่เป็น value zone”

จับตาแจกเงินดิจิทัลปลุกเชื่อมั่น

“กรภัทร” กล่าวอีกว่า การแจกเงินในนโยบายดิจิทัลวอลเลตของรัฐบาลยังต้องติดตามแหล่งที่มาของเงิน ขอบเขตการใช้จ่ายและกลุ่มเป้าหมายที่รัฐบาลต้องชัดเจน ซึ่งถ้ามีรายละเอียดออกมา ตลาดจะเข้าใจและมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ตนมองว่าโครงการนี้ไม่ควรใช้งบฯ ถึง 5.6 แสนล้านบาท เนื่องจากการวิจัยพบว่ากลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 บาท ส่วนใหญ่จะมีการ
ใช้จ่ายมากกว่า 100% หรือมีภาระหนี้จากการกู้ยืม ถ้าได้รับเงิน 10,000 บาท จะช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวก

“ถ้ารัฐบาลเลือกทางเลือกที่กำหนดกรอบเงื่อนไขตรงจุด เม็ดเงินที่ใช้อาจจะไม่มากและจะเกิดประสิทธิผลมากกว่าด้วยซ้ำ”

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่คาดหวังกันว่า หมอกควันที่ปกคลุมตลาดหุ้นไทยในปีนี้ จะจางลงในปีหน้า และอะไร ๆ น่าจะดีขึ้น