กอบศักดิ์ ชี้เศรษฐกิจไทยฟื้นครึ่งปีหลัง เชื่อแบงก์ทยอยลดดอกเบี้ย หนุน SET สิ้นปี 1,535 จุด

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล

กอบศักดิ์ ชี้เศรษฐกิจไทยฟื้นครึ่งปีหลัง เชื่อธนาคารกลางหลายประเทศเริ่มทยอยลดดอกเบี้ย-มาตรการรัฐกระตุ้น ช่วยหนุน SET สิ้นปีปิด 1,535 จุด มองหมวดท่องเที่ยว-แบงก์ เด่นน่าลงทุน

วันที่ 8 พฤษภาคม 2567 ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาเริ่มทรงตัวได้ดีขึ้น โดยประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2567 จะอยู่ที่ 1,535 จุด จาดเดิม 1,590 จุด เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยค้างสูงนานกว่าคาด ส่วนสิ้นไตรมาสที่ 2/67 ประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 1,447 จุด

โดยมองว่า เซนติเมนต์ในตลาดต่าง ๆ จะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และช่วงไตรมาส 3-4 จะเริ่มเห็นธนาคารกลางหลายประเทศเริ่มมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยพร้อมกัน หากมีการปรับลดดอกเบี้ยก็จะนำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายของไทยมองว่าดอกเบี้ยที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจและภาวะเงินเฟ้อ และธนาคารแห่งประเทศไทยก็คงมีจังหวะที่เหมาะสมในการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย

ด้านเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) เมื่อเข้าสู่การลดดอกเบี้ยจะเป็นช่วงที่ตลาดต่าง ๆ เริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ซึ่งในไทยดัชนีลงมาค่อนข้างมาก จึงเป็นโอกาสที่ฟันด์โฟลว์จะกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้ในช่วงครึ่งปีหลัง

ทั้งนี้จากผลสำรวจพบว่า ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล และกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนสถาบันอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ในขณะที่กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว”

Advertisment

โดยเซ็กเตอร์ที่เป็นเป้าหมายของการลงทุนทั้งต่างชาติและคนไทย ได้แก่ หมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM) จะเห็นว่าตั้งแต่ต้นปีในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2567 ประเทศไทยสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ประมาณ 12 ล้านคน เฉลี่ยประมาณ 3 ล้านคน/เดือน

นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวที่มามากที่สุดในไทยได้แก่ จีน ตามด้วย มาเลเซีย รัสเซีย เกาหลีใต้ และอินเดีย จึงมองว่าปลายปี จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาประเทศไทยได้ ไม่ต่ำกว่า 36 ล้านคน

และอีกหนึ่งเซ็กเตอร์ที่น่าสนใจได้แก่ หมวดธนาคารพาณิชย์ จะเห็นว่าปีที่ผ่านมา 2566 มีกำไรรวมทั้ง 10 ธนาคาร โตขึ้นประมาณ 15.7 % หรือ ประมาณ 2 แสนล้าน ในไตรมาสที่ 1/67 กำไรเพิ่มขึ้นประมาณ 5% มีกำไรสุทธิรวมกันประมาณ 63,511 ล้าน และในอนาคตหากเศรษฐกิจฟื้น กลุ่มธนาคารจะสามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้น

โดยปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และสถานการณ์เงินเฟ้อยังเป็นปัจจัยที่จะฉุดตลาด

Advertisment

สำหรับ ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง อีกทั้งตัวเลขเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกายังอยู่ในระดับสูงซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการคงอัตราดอกเบี้ยต่อไป รวมถึงต้องจับตามองสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังมีความไม่แน่นอน

ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ มาตรการภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเพื่อประคองเศรษฐกิจ ความชัดเจนของโครงการดิจิทัลวอลเลต และแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งหลังของปี 2567