ซีอีโอ “ทีเอ็มบี” ชี้เศรษฐกิจไทยสิ้นสุดทางเลื่อน แนะเร่งฉีดวัคซีนเศรษฐกิจปิดจุดอ่อน 6 ด้าน สร้างภูมิคุ้มกัน
เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2564 นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย (ทีเอ็มบี) ผู้อยู่เบื้องหลังโครงการ”คนละครึ่ง” “เราชนะ” ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการวิเคราะห์และเสนอมาตรการบริหารเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน ของศบศ. กล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ “วัคซีนเศรษฐกิจ วัคซีนประเทศไทย” จัดโดยหนังสือพิมพ์ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า วิกฤตครั้งนี้ทำให้เศรษฐกิจไทยสุดสิ้นทางเลื่อน เพราะหลังวิกฤตประเทศไทยจะต้องปรับตัว ตื่นตัว เพื่อจะสามารถทำให้สามารถเติบโตได้ตามศักยภาพ จากที่ผ่านมาโตต่ำกว่าศักยภาพ แต่พูดสวยหรูว่า เรามีศักยภาพสูงกว่านั้น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ดร.วิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ผู้อยู่เบื้องหลัง “บ้านกรมดิษฐ์” บ้านสวนลอยฟ้า
- “อาคม” ตีโจทย์ฉีดวัคซีน 3 ส่วนปลุกเศรษฐกิจไทย ชี้ไตรมาส 4 “ท่องเที่ยว” ฟื้น
- ปตท. ปรับโมเดลธุรกิจฝ่าวิกฤต ชู Life Science โฟกัส 4 กลุ่มสินค้า
ฉีดวัคซีนแก้จุดอ่อนเศรษฐกิจไทย
นายปิติ กล่าวว่า หากย้อนมาดู เปรียบเทียบกับประเทศที่แข็งแรงกว่า พบว่า จุดอ่อนของประเทศไทย มี 6 ด้าน ซึ่งต้องฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ได้แก่ 1.โครงสร้างเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการจ้างงานจากภาคธุรกิจเอสเอ็มอี (SMEs) ค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างเปราะบางเหลือเกิน
2.ไทยมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาเกือบ 20 ปี
3.โครงสร้างรายได้ การจัดเก็บภาษีของรัฐบาลค่อนข้างกระจุกตัวมาก ไม่ว่าจะเป็นภาษีนิติบุคคล ภาษีบุคคลธรรมดา และภาษีมูลค่าเพิ่ม
4.เศรษฐกิจไทยกระจุกตัวอยู่ไม่กี่จังหวัด
5.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทยยังเป็นการลงทุนแบบเดิมๆในโครงการถนน รถฟฟ้า ไม่ใช่สำหรับธุรกิจในอนาคตของประเทศ
และ 6.ความสะดวกในการทำธุรกิจไทยยังมีปัญหาอยู่มาก ซึ่งทั้งหมดล้วนต้องการวัคซีนป้องกัน
ต้องเพิ่ม “รายได้ต่อหัว” มากกว่าปั๊มจีดีพี
นายปิติ กล่าวว่า ไทยมีมูลค่าเศรษฐกิจต่อประชากร (GDP Per Capita) อยู่อันดับ 70-80 หายใจรดต้นคอประเทศ “กาบอง” นับว่าแปลกมาก เพราะในขณะที่ดัชนีหลายตัวติดอันดับต้นๆ แต่รายได้ประชากรต่อหัวกลับน้อยมาก
โดยจากการจ้างงานของประเทศทั้งหมด 38 ล้านคน พบว่าเป็นการจ้างงานของบริษัทขนาดใหญ่ซึ่งมีสัดส่วนเพียง 0.2% ของบริษัทในประเทศไทยทั้งหมด โดยมีการจ้างงาน 13% ขณะที่ผู้ใช้แรงงานในกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีมีการจ้างงาน 46% และการจ้างงานในภาคเกษตร 32% ส่วนที่เหลือ 9% อยู่ในภาครัฐ
ส่วนการลงทุนมาจากภาคเอกชนมูลค่า 6 ล้านล้านบาท พบว่าบริษัทใหญ่ยังเป็นหัวรถจักรเหล็กในการขับเคลื่อนการลงทุนของประเทศสัดส่วนกว่า 80% อาทิ ปตท., ปูนซิเมนต์ไทย เป็นต้น
ส่วนอีก 20% อยู่ในธุรกิจเอสเอ็มอี โดยตัวเลขเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ประมาณ 15.7 ล้านล้านบาท จะเห็นว่าสัดส่วนการจ้างงานของบริษัทขนาดใหญ่ 13% สร้างรายได้ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจประมาณ 43% ของจีดีพี ขณะที่ธุรกิจเอสเอ็มอี ที่มีการจ้างงาน 46% สร้างรายได้ใกล้เคียงกันที่ 42.4%
“แต่ผมไม่อยากให้เราสนใจคำว่าจีดีพีมาก จีดีพีเหมือนรายได้ เราอยากมีรายได้เยอะ ๆ แต่มีกำไรน้อย ๆ ไหม ตอนนี้เราส่งออกรถยนต์ ดีใจได้จีดีพี แต่ถามว่ามันตกอยู่ในมือคนไทยเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับธุรกิจโรงแรมที่มีรายได้ตกไปอยู่ในมือคนไทยแทบทั้งหมด
ดังนั้น ถ้าคนจำนวนมากได้เงินจำนวนน้อย เพราะว่าผลิตจีดีพีเท่ากับบริษัทใหญ่ ซึ่งรายได้ถูกส่งไปยังผู้ถือหุ้น ถูกส่งไปยังพนักงานบางส่วน จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้จีดีพีต่อประชากร (GDP per Capita) ของคนไทยยังต่ำ ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่เรามีความอ่อนแอ และต้องการวัคซีน” นายปิติกล่าว