ครม.อนุมัติ พ.ร.ก.สินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ 3.5 แสนล้าน
วันที่ 23 มี.ค. 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล ว่าการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม เห็นชอบ อนุมัติ พ.ร.ก.สินเชื่อฉบับใหม่ 3.5 แสนล้าน
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- อย. เตือนอย่าซื้อผลิตภัณฑ์ CDS มาทาน อันตรายถึงชีวิต
- แห่ขายที่ดินพ่วงโรงงาน เอกชนถอดใจ-สินค้าจีนตีตลาด
มี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาวน์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และนายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมแถลงข่าวมาตรการบรรเทาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19
- ครม.เคาะเกณฑ์ซอฟต์โลน 3.5 แสนล้านอุ้ม SME-รายใหญ่
- “กสิกร” คาด กนง. คงดอกเบี้ยนโยบาย จับตาโครงการ “พักทรัพย์พักหนี้”
แก้ พ.ร.ก.ซอฟต์โลน 3.5 แสนล้าน
นายอาคมกล่าวว่า ครม.เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จำนวน 2 มาตรการ ได้แก่ 1.มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่และผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) หรือ มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู วงเงิน 2.5 แสนล้านบาท โดยสถาบันการเงินจะคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 2 ต่อปี ในช่วง 2 ปีแรกของสัญญา และเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี 6 เดือนแรกรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ โดยสิ่งที่เพิ่มเข้ามา คือ ให้ บยส.ค้ำสินเชื่อธุรกิจที่เป็นเอสเอ็มอีและไม่ใช่เอสเอ็มอีชั่วคราว
2.มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้โดยให้ผู้ประกอบการมีสิทธิ์ซื้อทรัพย์สินนั้นคืนในภายหลัง หรือ มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ วงเงิน 1 แสนล้านบาท สำหรับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบและต้องใช้เวลาฟื้นตัว เป็นธุรกิจที่ไม่สามารถประกอบธุรกิจปกติต่อไปได้ และเป็นหนี้กับสถาบันการเงิน สามารถนำทรัพย์สินมาวางกับสถาบันการเงินเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่เดิม และหากต้องการดำเนินธุรกิจต่อสามารถขอเช่าทรัพย์สินไปดำเนินธุรกิจได้ โดยการนำไปขอสินเชื่อเพิ่มเติมได้ และสามารถซื้อคืนทรัพย์ได้ตามราคาที่ตกลงกัน โดยสถาบันการเงินไม่เอากำไร
สิ่งที่เพิ่ม คือ การชดเชยจากภาครัฐกรณีหนี้เสียเพื่อเป็นหลักประกัน อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี ตลอดระยะเวลา 5 ปี 2 ปีแรก คิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 2 ต่อปี รัฐชดเชยดอกเบี้ยให้ 6 เดือนแรก (ไม่คิดดอกเบี้ย)
ยกเว้น-ลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดา-นิติบุคคล
นายอาคมกล่าวว่า มาตรการดังกล่าวเป็นการปรับปรุง พ.ร.ก.ซอฟต์โลน 8 ข้อจำกัด อาทิ 1.คุณสมบัติผู้ประกอบธุรกิจที่จะเข้าร่วมโครงการ เรื่องการเป็นลูกหนี้เดิมและเป็นลูกหนี้ใหม่ 2.ระยะเวลา 2 ปี สั้นเกินไป 3.อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ไม่จูงใจสถาบันการเงิน 4.การชดเชยจากภาครัฐ 5.กลไกรับความเสี่ยง 6.ความไม่ครอบคลุมการแก้ปัญหาหนี้
นายอาคมกล่าวว่า กระทรวงการคลังเป็นห่วงธุรกิจที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ปกติ โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยว มีการบังคับซื้อโรงแรมในราคาบังคับขาย และเป็นห่วงการขอสินเชื่อใหม่ของธุรกิจที่ใหญ่กว่าเอสเอ็มอี ซึ่งทำให้ระบบการให้ สินเชื่อหดตัว ทั้งนี้ ภาคการท่องเที่ยวและบริการได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งเป็นสัดส่วน 11.5% ต่อจีดีพี
ทั้งนี้เป็นการเสนอร่าง พ.ร.ก.ฉบับใหม่ เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนหลักการและสาระสำคัญจากฉบับเดิม เพราะซอฟต์โลนภาค 1 ถูกออกแบบภายใต้สมมุติฐานโควิด-19 จบเร็ว แต่ปรากฏว่าการระบาดของโควิด-19 ลากยาว ปัญหายืดเยื้อ ทำให้เงื่อนไขที่ดีไซน์ไว้ไม่สอดคล้องกับปัญหา รวมถึงข้อจำกัด และการชดเชยความเสียหายต่ำ ทำให้แบงก์ก็ไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ
สำหรับโครงการซอฟต์โลน 5 แสนล้านบาทของ ธปท. จนถึง (15 มี.ค. 2564) มีการอนุมัติสินเชื่อไปเพียง 1.33 แสนล้านบาท ผู้ได้รับซอฟต์โลน 7.67 หมื่นราย เฉลี่ยวงเงินรายละ 1.73 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนว่าผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือจะเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีขนาดเล็กมาก