สัมภาษณ์
ครึ่งทางแรกปี 2565 ที่ผ่านมา ตลาดกองทุนรวมได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ไม่ต่างจากอุตสาหกรรมการลงทุนอื่น ๆ มองไปข้างหน้าในครึ่งปีหลัง หมอกควันความกังวลยังคงปกคลุมอยู่ ทำให้เกิดคำถามตามมาว่าควรลงทุนอย่างไร เพื่อหาคำตอบ
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้พูดคุยกับ “ชวินดา หาญรัตนกูล” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) มาฉายภาพแนวโน้มข้างหน้า พร้อมคำแนะนำการลงทุน
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
ตลาดผันผวนฉุด AUM
“ชวินดา” เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกกองทุนรวมไทยติดลบค่อนข้างมาก ทั้งตลาดตราสารหนี้ (บอนด์) และตลาดทุน (หุ้น) เรียกได้ว่า เป็นการติดลบพร้อมกัน “2 asset class” ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยเกิดขึ้น โดยผลกระทบมาจากเงินเฟ้อ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมถึงปัญหาสงคราม ซึ่งเป็น 3 ปัจจัยหลัก ที่ส่งผลทำให้อุตสาหกรรมกองทุนรวมมีมูลค่าทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ลดลงในรอบหลายปี
“ตั้งแต่ต้นปีจนถึงกลางปี กองทุนติดลบไปประมาณ 6% โดยตราสารหนี้เป็นกลุ่มที่โดนผลกระทบโดยตรงและหนักที่สุด ดูได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) สหรัฐ อายุ 30 ปี จากต้นปีอยู่ที่ 1.9% ก็ปรับเพิ่มขึ้นมาถึงระดับ 3.3% ซึ่งการที่บอนด์ยีลด์เพิ่มขึ้น หมายถึงราคาบอนด์ที่ตกลง แต่ก็ยังมีตัวที่เห็นว่ายังพอเติบโตได้ แต่ก็ค่อนข้างที่จะผันผวนอย่าง กลุ่มน้ำมัน, พลังงาน และทองคำ ซึ่งตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน แม้ผลตอบแทนยังคงบวกอยู่ แต่ก็ลดลงบ้างแล้ว”
“เงินเฟ้อ” ใกล้พีก
สำหรับแนวโน้มในครึ่งปีหลัง “ชวินดา” เชื่อว่าเงินเฟ้อเดินทางมาถึงครึ่งทางแล้ว แต่คงยังไม่จบ โดยน่าจะใกล้ถึงจุดสูงสุด (พีก) ขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้ น่าจะเป็นช่วงสิ้นปีนี้ที่จะเห็นการพีกของเงินเฟ้อสหรัฐ อย่างไรก็ดี ต้องอยู่บนสมมุติฐานว่าสงครามนิ่งแล้ว ขณะที่การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะขึ้นไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2566
“ครึ่งปีหลังปัจจัยที่ค่อนข้างรุนแรง ที่เกิดในช่วงครึ่งปีแรก ตลาดจะรับรู้ไปมากพอสมควรแล้ว แล้วนักลงทุนก็ตอบรับกับเรื่องนี้ไปค่อนข้างหนัก ดังนั้น ผลกระทบแม้จะยังมีอยู่ แต่ในเชิงความรุนแรง น่าจะลดน้อยลง ซึ่งตลาดโดยภาพรวมอาจจะอยู่ในสภาวะที่นิ่งขึ้น ผันผวนน้อยลง ดังนั้นในครึ่งปีหลัง อาจจะใช้กลยุทธ์ buy on dip และใช้จังหวะในการเข้าลงทุนมากขึ้นได้”
ในส่วนอัตราดอกเบี้ยของไทย “ชวินดา” เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยแน่นอน เพราะช่องว่างดอกเบี้ยไทยอยู่ห่างจากสหรัฐค่อนข้างมาก ซึ่งอาจส่งผลให้กระแสเงินทุน (ฟันด์โฟลว์) ไหลออกได้
“แบงก์ชาติน่าจะขึ้นดอกเบี้ยปีนี้ที่ 1% แล้วคงประเมิน 2 ข้อหลัก คือ ฟันด์โฟลว์และเงินเฟ้อ ซึ่งจริง ๆ คิดว่าปีนี้ยังไงแบงก์ชาติก็ยังปิดช่องว่างไม่สนิท เพราะถ้าจะปิดให้สนิทเลย อาจกระเทือนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ เพราะปีนี้เราน่าจะได้เห็นเงินเฟ้อที่ดอกเบี้ยของเเบงก์ชาติไม่สามารถวิ่งตามทันได้แน่นอน”
เทรนด์ครึ่งปีหลังลงทุน “บอนด์”
ในมุมการลงทุนนั้น “ชวินดา” บอกว่า ด้วยมุมมองที่ว่าดอกเบี้ย และเงินเฟ้อ มาเกินกว่าครึ่งทางแล้ว ดังนั้น ชอตแรกอาจจะเริ่มทยอยกลับเข้าลงทุนในตราสารหนี้ก่อน เนื่องจากปัจจุบันตลาดเริ่มกังวลเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้น และการปรับขึ้นมาอย่างรุนแรงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) ในช่วงก่อนหน้านี้ สะท้อนให้เห็นว่าโอกาสที่จะปรับขึ้นต่อมากกว่านี้น่าจะไม่รุนแรง เพราะหากปรับขึ้นไปมากกว่านี้อาจจะทำให้เศรษฐกิจช็อก และเป็นความเสี่ยงนำไปสู่เศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้นจริง
“ถ้ามองแค่ประเทศไทย พวกบอนด์ระยะสั้นตอนนี้เดินทางถึงจุดที่น่าสนใจ เพราะว่ามองไปที่ running yield เพิ่มขึ้นมาเกิน 1% แล้ว ดังนั้นเป็นจุดที่น่าสนใจที่จะเอาเงินมาพักสั้น ๆ แล้วค่อยไปลงทุนในส่วนอื่น ๆ ขณะที่การลงทุนในหุ้นยังคงมีความผันผวนมากกว่า เพราะได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากเงินเฟ้อ และตัวเลขทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่อาจจะกระทบกระเทือนจิตใจนักลงทุนอยู่ จึงมองว่าบอนด์จะน่าสนใจมากกว่าการลงทุนในหุ้น สำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้”
ตลาด “เอเชีย” โซนปลอดภัย
โดยตลาดที่นักลงทุนสามารถทยอยกลับเข้ามาลงทุนได้ เริ่มจากฝั่งเอเชียก่อน เนื่องจากเอเชียเริ่มเดินทางคนละเส้นทางกับฝั่งสหรัฐ อย่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม ไทย หรือแม้กระทั่งอินโดนีเซีย ก็ยังเป็นตลาดที่น่าลงทุนมากกว่าสหรัฐ หรือยุโรป
“อย่างไทยเราเองก็มีปัจจัยพิเศษจากการท่องเที่ยวที่เริ่มทยอยฟื้น และไม่ใช่แค่ไทยแต่เป็นในโซนเอเชียเกือบทั้งหมด อย่างอินโดนีเซียเป็นประเทศเดียวในปัจจุบันที่ยังรักษาการเติบโตของตลาดหุ้นได้อยู่”
ขณะที่จีนก็กลับมาเปิดประเทศและเศรษฐกิจเริ่มทยอยกลับสู่ภาวะปกติ รวมถึงไม่มีปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งจีนกับอินเดียเป็นประเทศที่ยังเดินหน้าต่อได้ในปัจจุบัน เพราะว่าเป็นประเทศที่ไม่เชื่อฟังเรื่องการคว่ำบาตร ทำให้ผลกระทบที่หลาย ๆ ประเทศเจอไม่เกิดขึ้นกับ 2 ประเทศนี้ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นก็เหมือนกัน ไม่ได้ทำตามสหรัฐ คือดำเนินนโยบายที่ไม่ได้เร่งขึ้นดอกเบี้ย
“ฉะนั้นถ้าภาพโดยส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ แนะนำเลือกกระจายการลงทุนให้ออกจากโซนที่ยังไม่มั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ หรือยุโรป และหันมาโฟกัสในเอเชียเป็นหลักมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง” นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) กล่าวในตอนท้าย