ผู้จงใจปิดข้อมูล-แจ้งข้อมูลเท็จ เข้าข่ายผิดกฎหมายโรคติดต่อ มีบทลงโทษ จำคุก-ปรับ
วันที่ 27 มกราคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานกรณี ดีเจมะตูม ตชินท์ พลอยเพชร ติดโควิด-19 หลังจัดปาร์ตี้ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง และต่อมา ศบค.ระบุว่าเป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ เนื่องจากมีผู้ติดโควิดที่เชื่อมโยงกับงานปาร์ตี้แล้ว 24 ราย หนึ่งในนั้นคือ บุคคลที่มีอาชีพนักร้องนักแสดง อายุ 23 ปี ซึ่งไม่การรายงานไทม์ไลน์ เนื่องจากผู้ป่วยไม่ให้ข้อมูล จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
- ขาลงยางพารา ราคาร่วงฉุดไม่อยู่ 10 วันราคาตกลงไปแล้ว 7 บาทกว่า
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 1 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- ออมสิน ฉลองครบวาระ 111 ปี จัดเต็ม สลากออมสินลุ้นรางวัลใหญ่ 111 ล้านบาท
- เปิดไทม์ไลน์ แก๊งเพื่อน “ดีเจมะตูม” ไม่ยอมให้ประวัติไทม์ไลน์
-
ซูเปอร์สเปรดเดอร์ คืออะไร? ทำไมบางคนถึงแพร่เชื้อมากกว่าคนอื่น?
จากการตรวจสอบ ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 17) ที่ประกาศเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2564 ในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา พบว่า มีสาระสำคัญ 4 ข้อ ประกอบด้วย
- ยกระดับการบังคับใช้มาตรการป้องกันโรค ให้ประชาชนในพื้นที่ติดตั้งแอพพลิเคชั่น “หมอชนะ” ควบคู่การใช้แอพพลิเคชั่นไทยชนะ
- ยกระดับพื้นที่ควบคุมสูงสุดที่จำเป็นต้องมีมาตรการเข้มงวดอย่างยิ่ง โดยให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเส้นทางคมนาคมและยานพาหนะของประชาชนเดิน ทางเข้าออกเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ได้แก่ จันทบุรี ชลบุรี ตราด ระยอง และสมุทรสาคร เพื่อสกัดคัดกรองคนเข้าออกพื้นที่ โดยบุคคลที่จะอออกนอกพื้นที่ ต้องแสดงเหตุผลคววามจำเป็น บัตรประชาชน บัตรแสดงตนอื่นๆ ควบคู่กับเอกสารรับรอง ต่อเจ้าหน้าที่
- ปราบปรามลงโทษผู้กระทำผิดเด็ดขาด จัดการเจ้าหน้าที่ที่รู้เห็นให้มีบ่อนพนันในพื้นที่อันเป็นต้นตอของการระบาด รวมถึงบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างประเทศโดยไม่ได้มีการตรวจสอบ คัดกรองโรคตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข
- โทษของผู้ฝ่าฝืน จำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ ผู้ติดเชื้อที่จงใจปกปิดข้อมูลการเดินทางหรือแจ้งข้อมูลเท็จ ต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อทำให้เป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนและควบคุมโรคเป็นผลให้เชื้อโรคแพร่ออกไป อาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืน การฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อพ.ศ.2558 ด้วย
โดยมาตรา 49 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการ คณะกรรมการด้านวิชาการหรือคณะอนุกรรมการตามมาตรา 18 หรือคำสั่งของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ตามมาตรา 22(6) หรือคำสั่งของคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครมาตรา 28(6) หรือคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามมาตรา 45(1) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 50 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการแจ้งตามมาตรา 31 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
มาตรา 51 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามมาตรา 34 (1)(2)(4) หรือ (6) มาตรา 39 (1)(2)(3) หรือ (5) มาตรา 40 (5) หรือไม่อำนวยความสะดวกแก่เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามมาตรา 39 (4) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
มาตรา 52 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามมาตรา 34 (3)(4)(7) หรือ (8) หรือมาตรา 40 (3) หรือ (4) หรือผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครตามมาตรา 35 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 53 ผู้ใดไม่อำนวยความสะดวกแก่เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อหรือเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา 38 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
มาตรา 54 เจ้าของพาหนะหรือผู้ควบคุมพาหนะผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามมาตรา 40 (2) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 55 ผู้ใดขัดขวางหรือไม่อำนวยความสะดวกแก่เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามมาตรา 45 วรรคสาม ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท