ศบค. เคาะล็อกดาวน์ 10 จังหวัดปิดห้าง เปิดซูเปอร์มาเก็ต ร้านสะดวกซื้อถึง 2 ทุ่ม

ข่าวด่วน

ศบค. เคาะมาตรการสกัดโควิด 10 จังหวัด “สีแดงเข้ม” ปรับเวลาเปิด-ปิดร้านสะดวกซื้อ ระบบขนส่งสาธารณะ สวนสาธารณะ ขอประชาชนงดเดินทางโดยไม่จำเป็น

วันที่ 9 กรกฎาคม 2564 รายงานข่าวเปิดเผยว่า ที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ เห็นชอบตามข้อเสนอยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมโรค โควิด-19 สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล (นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร) และ 4 จังหวัดภาคใต้ (นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา) โดยให้มีการยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ยึดหลักการ ดังนี้

1.ห้ามการเดินทางที่ไม่จำเป็น และห้ามออกนอกเคหะสถานระหว่างเวลา 21.00 ถึง 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น เว้นแต่มีความจำเป็นยิ่ง หรือได้รับอนุญาตเป็นรายกรณี

และการเดินทางข้ามจังหวัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ โดยขอให้เวิร์กฟรอมโฮม (WFH) ให้มากที่สุด ยกเว้นงานบริการประชาชนและงานที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภค, ขอความร่วมมือจากประชาชนงดการเดินทางโดยไม่จำเป็น ยกเว้นการจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภค การไปโรงพยาบาล ฉีดวัคซีนหรือมีความจำเป็นที่จะต้องออกไปทำงาน

จำกัดการเดินทางข้ามจังหวัด, ขอความร่วมมือผู้ประกอบการลดการจัดบริการยานพาหนะของขนส่งสาธารณะที่ต้องเดินทางจากพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลทั้งบกและอากาศ การขนส่งยกเว้นการขนส่งสินค้า, ลดการรวมตัวทำกิจกรรมร่วมกันทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน เช่น งดการจัดอบรม งดจัดประชุม งดจัดสอบหรือกลับเข้าสถานศึกษา

2.ปิดสถานที่เสี่ยงต่อการระบาดของโรค ได้แก่ ปิดสถานที่เสี่ยงการติดโรค เช่น นวดแผนโบราณ สปา สถานเสริมความงาม ร้านสะดวกซื้อปิดเวลา 20.00-04.00 น. ห้างสรรพสินค้าเปิดได้เฉพาะร้านอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภค เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร ร้านเครื่องมือสื่อสาร ร้านขายยาและเวชภัณฑ์ โดยเปิดได้จนถึงเวลา 20.00 น.

ร้านอาหารเปิดขายได้แต่ห้ามบริโภคในร้าน ห้ามจำหน่ายสุราเปิดได้ไม่เกิน 20.00 น. ส่วนระบบขนส่งสาธารณะปิดเวลา 21.00-03.00 น. กำหนดเวลาปิดสวนสาธารณะ ในเวลา 20.00 น.

3.ปรับแผนการฉีดวัคซีนไปต่างจังหวัดและระดมการฉีดวัคซีนที่มีอยู่ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุและโรคเรื้อรังในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

4.ปรับระบบบริการตรวจคัดกรองและรักษาพยาบาล ให้กรุงเทพมหานครและจังหวัดเร่งเพิ่มจุดบริการตรวจคัดกรองและปรับระบบการบริการรักษาพยาบาลโดยเร่งให้มีการจัดบริการแบบโฮมไอโซเรชั่น (Home Isolation) และคอมมิวนิตี้ไอโซเรชั่น (Community Isolation) ให้เหมาะสมและเพียงพอกับสถานการณ์และเชื่อมโยงกับหน่วยบริการปฐมภูมิ

เช่น คลินิกบริการอบอุ่น ศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร โดยมี สปสช. ในการจัดบริการ รวมทั้งให้หน่วยบริการจัดช่องทางด่วนในการตรวจคัดกรองและรักษาให้กับกลุ่มผู้สูงอายุผู้มีโรคประจำตัวและโรคเรื้อรัง

5.เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชนภาคประชาสังคม และประชาชนในการป้องกันตนเอง ตรวจคัดกรองและดูแลรักษาพยาบาล ดังนี้ ขอความร่วมมือให้ประชาชนทุกคนเน้นมาตรการป้องกันส่วนบุคคลสวมหน้ากากอนามัย งดคลุกคลี ใกล้ชิดกันหรือรับประทานอาหารร่วมกันทั้งในบ้านและสถานที่ทำงาน

เน้นย้ำทุกหน่วยงานและผู้ประกอบการดำเนินการกำกับติดตามมาตรการป้องกันส่วนบุคคลในสถานประกอบการหรือสถานที่ทำงาน, สร้างการมีส่วนร่วมขององค์กรชุมชน ภาคประชาสังคมในการจัดบริการตรวจคัดกรองและดูแลรักษาพยาบาล

ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป รวม 14 วัน แต่มาตรการงดเดินทาง ให้เริ่มตั้งด่านปฏิบัติงานมีผลตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2564