ซีอีโอ สตางค์โปร มองโอกาสในวัฏจักรขาลง “คริปโต”

สรัล ศิริพันธ์โนน
สัมภาษณ์พิเศษ

ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลกพลิกผันเข้าสู่ช่วงขาลง แม้แต่สกุลเงินดิจิทัล “บิตคอยน์” ที่เคยแข็งแกร่งก็ราคาร่วงต่อเนื่องสร้างความหวาดหวั่นให้นักลงทุนทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่เป็นอย่างมาก

แม้นักลงทุนที่มีประสบการณ์ในตลาดมานานจะมองสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นไปตาม “วัฏจักรบิตคอยน์” (bitcoin halving cycle) และคริปโตเคอร์เรนซีที่เกิดทุก 4 ปี แต่รอบนี้ราคาร่วงลงเร็วและแรงมากผ่านระดับที่เคยลดลงสูงสุดเมื่อปี 2017 ไปแล้ว (แม้ในภายหลังราคาจะดีดกลับขึ้นมาได้บ้าง)

สารพัดปัจจัยลบทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ วิกฤตเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยขาขึ้น และปัญหาความเชื่อมั่นหลังการล่มสลายของเหรียญสกุลใหญ่อย่าง LUNA ล้วนไม่ดีต่อตลาดและการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลด้วยเช่นกัน

“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสพูดคุยกับ “สรัล ศิริพันธ์โนน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ให้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลหลากหลายแง่มุม ดังนี้

สแกนตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

ช่วงโควิดปี 2020-2021 มีคนเปิดบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านบัญชี ช่วงแรกความสนใจจะอยู่ที่บิตคอยน์เป็นหลัก เพราะคนรู้จักทั้งด้วยชื่อที่เหมาะสมกับการเป็นเงินดิจิทัลและคุ้นเคยมานานแล้ว ต่อมาจึงเริ่มค้นพบว่ามีเหรียญอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ทำให้เกิดระบบ DeFi (Decentralize Finance) หรือระบบการเงินแบบไร้ตัวกลาง

การเกิดขึ้นของ DeFi ทำให้คนที่เคยรู้สึกว่าตลาดเงินตลาดทุนแบบดั้งเดิมเข้าถึงได้ยาก เข้ามาลงทุนทั้งคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่าที่อยู่ในตลาดเงินมานานก็ได้ทดลอง เรียนรู้ และพบว่าใช้ง่ายกว่าการใช้เฟซบุ๊กเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการฝาก การถอน การลงทุนเพื่อรับดอกเบี้ย การโอนหรือจะนำเหรียญไปค้ำประกันเพื่อกู้เงินไปซื้อสินทรัพย์อื่น ๆ ได้หมด

นอกจากใช้ง่ายแล้วยังเห็นผลเร็ว เพราะเป็นจังหวะของตลาดขาขึ้น ลงทุนแค่สัปดาห์เดียวก็เห็นได้ว่าเงินที่ลงไปงอกเงยจนเกิดเป็นความคิดว่าสินทรัพย์เหล่านี้คือสินทรัพย์ทางเลือก ทำให้ตลาดในช่วงที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างมาก

DeFi ทำให้ตลาดโดยรวมโต

การเติบโตของ DeFi มีความสอดคล้องกับหลายเหตุผลของวัฏจักรขาขึ้นของคริปโตเคอร์เรนซีด้วย คือ

1.อุปสงค์อุปทานของบิตคอยน์ วัฏจักรคริปโตเกิดจากวัฏจักรบิตคอยน์ กล่าวคือ ทุก 4 ปีเครือข่ายบิตคอยน์จะมีการลดผลตอบแทน (halving) ทำให้มีเหรียญออกสู่ตลาดน้อยลง เมื่อมีความต้องการเหรียญราคาก็ขึ้นตามกลไกอุปสงค์อุปทาน

2.คู่เทรด ในอดีตคู่เทรดของเหรียญคริปโตอื่น ๆ จะมีการจับคู่กับบิตคอยน์ ทำให้บิตคอยน์เป็นเหรียญกลางในการแลกเปลี่ยน เป็นสาเหตุให้ราคาของคริปโตอื่น ๆ ขึ้นลงสอดคล้องตามวัฏจักรบิตคอยน์

และ 3.การเกิดขึ้นของ stablecoin หรือเหรียญที่มีการตรึงมูลค่าตามเงินจริง นอกจากซื้อเหรียญคริปโตง่ายขึ้นแล้วยังทำให้เกิดความเชื่อมั่น ทำให้กลไกของระบบการเงินแบบไร้ตัวกลาง หรือดีไฟน์ทำงานได้ง่าย มีการค้ำประกันและการกู้ด้วยคริปโตจำนวนมากมาเทรดต่อ

ปีที่ผ่านมาจึงเป็นปีทอง แต่พอปลายปีเริ่มเข้าสู่การเป็นปีแห่งการเรียนรู้ด้วย เพราะการเติบโตของตลาดคริปโตและตลาดดีไฟน์มีหลายโปรเจ็กต์เกิดความผิดพลาด ล้มหลว โดนแฮก และสูญเงินแบบหายวับไปเลยโดยไม่สามารถติดตามได้ ซึ่งต่างไปจากระบบการเงินแบบเก่า ในอดีตเราเรียนรู้ความผิดพลาดในตลาดหุ้น ตลาดเงิน ตลาดทุนของประเทศต่าง ๆ ที่มีมาก่อนเราอย่างสหรัฐ แต่รอบนี้เราเรียนรู้ไปด้วยกันทั่วโลกเพราะเป็นสิ่งใหม่จริง ๆ

วิกฤตโลกซ้ำเติมวัฏจักรบิตคอยน์

ในครึ่งปีแรกปี 2022 เกิดวิกฤตมากมายที่ส่งผลกับคนทั่วโลก ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน ภาวะเงินเฟ้อ เศรษฐกิจถดถอย การขึ้นดอกเบี้ย ถาโถมเข้าสู่ชีวิตคนเรื่อยไปจนถึงตลาดเงินตลาดทุน ทำให้คนอยากเก็บเงินสดหรือทองมากกว่าที่จะลงทุนในคริปโต ตลาดจึงซบเซา แต่ส่งผลต่อวัฏจักรบิตคอยน์และคริปโตหรือไม่ยังคงต้องจับตาสถานการณ์ต่อไป

แต่อีกส่วนที่มองว่าน่ากังวล คือ สงคราม ผมเองยังต้องกระจายความเสี่ยงในหลายสินทรัพย์โดยเฉพาะในทองคำ เพราะสงครามยิ่งนาน ทองคำจะยิ่งเป็นที่ปลอดภัย

สิ่งที่ได้เรียนรู้ และบทเรียน

ความเสี่ยงของ DeFi และความเชื่อมั่นที่ลดลงหลังการล่มสลายของ LUNA ทำให้คนที่ผ่านการใช้งานในปีที่แล้วมาพอสมควรจะเริ่มชินและรู้ว่ามีความเสี่ยงที่ไม่สามารถกู้คืนได้ ก็จะระวังมากในการเข้าไปถือสินทรัพย์ดิจิทัล หรือใช้งานแพลตฟอร์มต่าง ๆ

ตอนนี้ความเชื่อมั่นใน DeFi นับว่ายังน่ากลัว ล่าสุดหลังตลาดร่วงแรง แพลตฟอร์ม Celsius Network ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ใหญ่มากของบล็อกเชนอีเทอเรียมได้ระงับการถอนเงินของลูกค้าจากแพลตฟอร์มโดยไม่แสดงความโปร่งใส โดยส่วนตัวผมอยากให้คนตระหนักในเรื่องนี้

แม้จะมีการบอกว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวมีการสอบทานบัญชี (audit) มาแล้ว แต่เราไม่รู้ว่าคนที่ชำนาญด้านการสอบทานบัญชีเข้าใจสิ่งที่ระบบบล็อกเชนทำหรือไม่ เราไม่มีทางรู้เลยว่าใครทำอะไรบนบล็อกเชน

หลังจากนี้หลายบริษัทจะเข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบและ audit แพลตฟอร์มหรือเครือข่ายมากขึ้น มีการออกรายงานให้คนทั่วไปอ่านเข้าใจมีการกำกับดูแลโดยหลายภาคส่วนมากขึ้น ทำให้แพลตฟอร์มในลักษณะนี้มีความโปร่งใสมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องดีที่จะผิดพลาดและเริ่มต้นทำกันตอนนี้เพราะคนยังใช้งานน้อย ถ้ามีความไม่โปร่งใสในตอนที่คนทั่วโลกเข้าไปใช้งานจะวิกฤตหนักกว่านี้ เรียนรู้ตอนนี้จะเจ็บน้อยกว่า

ต่อไปคนจะไม่เชื่อแพลตฟอร์มหรือเหรียญต่าง ๆ ง่าย ๆ อีกแล้ว ถ้าไม่โปร่งใสก็จะไม่มีคนใช้

นั่นคือข้อดีของความผิดพลาดในช่วงนี้ที่จะทำให้มีการพัฒนาเรื่องความโปร่งใส ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในเหรียญต่าง ๆ และแพตฟอร์ม DeFi

มองโอกาสในตลาดขาลง

ขาลงของตลาดคริปโตเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการเข้ามาเรียนรู้ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม

กลุ่มแรก นักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้นอาจเคยได้ยินเรื่องคริปโตเคอร์เรนซีมาบ้าง เป็นคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเรียนจบหรือเพิ่งมีงานมีเงินพอที่จะลงทุนได้ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดีที่จะได้เรียนรู้ เพราะเป็นจุดที่ต่ำมากแล้ว การทดลองอะไรในช่วงนี้จึงไม่เสี่ยงมากเท่าปีที่แล้วจึงควรค่อย ๆ ศึกษาว่าแต่ละเหรียญแต่ละโปรเจ็กต์คืออะไร มีจุดประสงค์เพื่ออะไร ศึกษาโปรเจ็กต์ที่ล้มเหลวไปแล้วด้วยว่าเกิดจากอะไร

อีกกลุ่มคือ ผู้สังเกตการณ์เป็นกลุ่มที่ไม่เคยเข้ามาเป็นผู้เล่น

แต่ติดตามตลาดมานานและค่อนข้างรู้เชิงเทคนิค เข้าไปดูข้อมูลบนบล็อกเชนต่าง ๆ ได้เอง ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มักวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อตลาดล้มลงอย่างรุนแรง ทำให้พวกเขารู้ว่าต้องพร้อมที่จะรับมือกับอะไร เป็นกลุ่มมีทักษะ และศึกษาว่าโปรเจ็กต์ไหนมีความน่าสนใจจริง ๆ เมื่อได้เรียนรู้เพิ่มเติมจะชื่นชอบบล็อกเชนมากขึ้น และเห็นทางมากกว่าคนที่เป็นผู้เล่นปัจจุบันกลุ่มนี้จะเป็นตัวเปลี่ยนสำคัญในอีก 2-3 ปี

ผลกระทบและสิ่งที่บริษัทได้เรียนรู้

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมารู้สึกว่า ก.ล.ต.เข้ามากำกับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลค่อนข้างมากนี้ เราจึงพยายามทำแพลตฟอร์มของเราให้สอดคล้องกับกฎหมายมากขึ้น พยายามทำให้แข็งแรงและพร้อมรองรับผู้ใช้เมื่อตลาดกลับมาเป็นขาขึ้น รวมไปถึงการเตรียมเนื้อหาความรู้ให้มากที่สุด เพราะเป้าหมายเรายังเหมือนเดิม คือ การให้ความรู้คน เราไม่อยากเชียร์ให้ใครไปซื้ออะไรแบบผิด ๆ

ในช่วงตลาดขาลงจึงเป็นช่วงการเตรียมตัวเตรียมความพร้อมของเราด้วย

ภาวะเศรษฐกิจไม่ได้กระทบกับบริษัทเท่าไร เพราะที่ผ่านมาขยายการลงทุนตามกำลังที่มี ไม่ได้กู้เงินหรือรับเงินลงทุนจากใคร บริษัทเราไม่ได้ใหญ่ ไม่ได้ใช้จ่ายสูง

ช่วงนี้ผู้ประกอบการหลายรายอาจปรับลดโฆษณาลงบางแห่ง เช่น coinbase มีการปรับลดพนักงาน เรียกว่าเป็นช่วงที่ทุกคนต่างต้องเอาตัวรอดให้ได้ก่อน เพราะในภาวะที่เศรษฐกิจถดถอยคนใช้ก็จะน้อยลง ไม่มีใครทำกำไรและเอาชนะใครได้ทั้งหมด ผู้เล่นใช้เงินน้อยลง ต้องรอเศรษฐกิจกลับมาก่อน