สภาลมหายใจ 9 จังหวัดภาคเหนือ จี้รัฐยกระดับแก้ปัญหาฝุ่นควัน

สภาลมหายใจ 9 จังหวัดภาคเหนือ จี้รัฐยกระดับแก้ปัญหาฝุ่นควัน ชงมาตรการ “บลูพรินต์วาระแห่งชาติ”

วันที่ 8 กันยายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายสภาลมหายใจภาคเหนือ 9 จังหวัด ประกอบด้วย สภาลมหายใจแม่ฮ่องสอน สภาลมหายใจเชียงใหม่ สภาลมหายใจลำพูน สภาลมหายใจเชียงราย สภาลมหายใจลำปาง ชมรมอากาศดีที่เมืองแพร่ สภาลมหายใจพะเยา เครือข่ายรักษ์อากาศน่าน และสภาลมหายใจตาก ได้ร่วมกันแถลงข่าวเรียกร้องให้รัฐบาลยกระดับการแก้ปัญหามลพิษอากาศจากฝุ่นควัน PM 2.5 ที่เป็นวิกฤตมายาวนาน ณ โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์สิว จังหวัดเชียงใหม่

นายภาณุพงศ์ ไชยวรรณ์ ประธานสภาลมหายใจลำพูน เปิดเผยว่า แม้ว่าเมื่อฤดูแล้งที่ผ่านมาการเกิดฝุ่นควันและไฟน้อยกว่าปีก่อนหน้า แต่ก็สืบเนื่องจากปัจจัยสภาพภูมิอากาศมีฝนตกจากภาวะลานิญาเป็นสำคัญ ดังนั้นเครือข่ายสภาลมหายใจภาคเหนือ มองว่า ต้องมีการยกระดับปรับปรุงชุดมาตรการแก้ปัญหามลพิษอากาศจากฝุ่นควัน PM 2.5 ตามวาระแห่งชาติด้านฝุ่นละอองที่ใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 เพราะไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและสภาพปัญหาของภาคเหนือ ใช้ตัวชี้วัดที่ไม่สะท้อนและไม่ครอบคลุม มุ่งเน้นที่การบังคับห้ามเผาแบบไม่แยกแยะ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ชุดมาตรการ zero burning ซึ่งไม่ได้ผลจริงในทางปฏิบัติ

โดยเครือข่ายสภาลมหายใจภาคเหนือ ได้ร่วมกันสังเคราะห์และปรับปรุงและยกระดับจากวาระแห่งชาติด้านฝุ่นละออง เป็นรายงานข้อเสนอเพื่อยกระดับการแก้ปัญหามลพิษฝุ่นควันภาคเหนือ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “บลูพรินต์์” โดยจะนำเสนอต่อรัฐบาลในทุกช่องทางนับจากนี้ โดยหวังว่าจะนำไปสู่การนำไปปรับปรุงยกระดับนโยบายและมาตรการต่อไป

สำหรับชุดข้อเสนอตาม “บลูพรินต์” จัดทำขึ้นตามหลักแนวคิด 6 ประการคือ

  • 1.บริหารจัดการสาเหตุตามบริบทภูมิสังคม (แทนการห้ามเผาเด็ดขาด)
  • 2.หลักความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อม
  • 3.หลักสุขภาพประชาชนเป็นตัวตั้ง
  • 4.เปิดการมีส่วนร่วมแก้ปัญหาโดยชุมชนท้องถิ่นเป็นแกน
  • 5.การเข้าถึงอากาศสะอาดเป็นสิทธิพื้นฐานที่รัฐต้องคุ้มครอง
  • 6.ประสิทธิภาพการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ (เอาพื้นที่ปัญหาเป็นตัวตั้งไม่ใช่เขตอำนาจปกครองหรืออำนาจหน่วยงานตามกฎหมาย)

เมื่อแปลงข้อเสนอสู่มาตรการเชิงปฏิบัติ เครือข่ายสภาลมหายใจภาคเหนือหวังจะเห็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ๆ เช่น หน่วยงานรัฐต้องแจ้งล่วงหน้าต่อสาธารณะว่าจะดำเนินการบริหารเชื้อเพลิง (ชิงเผา) ในพื้นที่ใด เวลาใด เช่นเดียวกับแปลงชิงเผาของประชาชน, หน่วยงานรัฐมีมาตรการป้องกันสุขภาวะเชิงรุกเช่นการจัดเตรียมเครื่องฟอกอากาศให้ผู้ด้อยโอกาส ผู้ป่วยยืมไปใช้, รัฐต้องขยายเครื่องวัดคุณภาพอากาศมาตรฐานไปยังพื้นที่รอบนอก แทนที่จะมีแต่เครื่องวัดมาตรฐานที่ตัวจังหวัดเพียงตัวเดียว, จัดทำแผนมาตรการบูรณาการเพื่อบริหารพื้นที่ไฟไหม้ขนาดใหญ่ ขนาดกลางที่คาบเกี่ยวเขตปกครองและเขตความรับผิดชอบหน่วยงาน ให้เป็น KPI ร่วม ฯลฯ เป็นต้น

โดยประชาชนสามารถเข้าไปดาวน์โหลดชุดข้อเสนอและมาตรการฉบับเต็มตามบลูพรินต์โดยตรงได้ทางเว็บไซต์ สภาลมหายใจเชียงใหม่ https://breathcouncil.org/ และเว็บไซต์ WEVOสื่ออาสา https://wevo.news/

นายบัณรส บัวคลี่ ประธานยุทธศาสตร์ สภาลมหายใจภาคเหนือกล่าวว่า เครือข่ายสภาลมหายใจภาคเหนือ 9 จังหวัดได้จัดเวทีสรุปบทเรียนและสร้างแนวทางการขับเคลื่อนภาคเหนือสู้ฝุ่นควัน ระหว่างวันที่ 8-9 กันยายน 2565 โดยการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาการผลักดันยกระดับการแก้ปัญหามลพิษอากาศฝุ่นควัน PM 2.5 ในปี พ.ศ. 2566 ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมทั้งตั้งเป้าจะพัฒนาความเข้มแข็งขององค์กรเครือข่ายแต่ละจังหวัดอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยมีเจตนาร่วมกันเพื่อให้พื้นที่ภาคเหนือเกิดมีอากาศสะอาดและปลอดภัยในทุกฤดู เพื่อสุขภาวะของประชาชนทุกพื้นที่ของภาคเหนือ

อย่างไรก็ตาม สภาลมหายใจภาคเหนือ อยากเรียกร้องให้รัฐบาลปรับปรุงกระบวนทัศน์มาสู่การบริหารจัดการอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งไม่ใช่การบริหารจัดการชิงเผา หรือยึดเพียงการวัดค่า Hot Spot เท่านั้น ซึ่งแก่นสาระสำคัญของ “บลูพรินต์” เป็นหลักสำคัญสู่ทางออกคือ 1.เปิดการมีส่วนร่วม โดยชุมชนท้องถิ่นเป็นแกน 2.บริหารจัดการสาเหตุตามบริบทภูมิสังคม 3.ยึดสุขภาพประชาชนเป็นตัวตั้ง 4.ประชาชนมีสิทธิในอากาศสะอาด 5.ประสิทธิภาพการบริหารเชิงพื้นที่ 6.ความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อม และไม่มีความเหลื่อมล้ำเชิงนโยบาย