MG ลุยกวาดแชร์ B-SUV ระบุไฮบริดต่ำล้านบูมเร่งเสริมทัพโปรดักต์ใหม่

MG VS HEV

เอ็มจี หวังชิงเค้กตลาด บี-เอสยูวี ลั่นปีนี้กวาด 25-30% หลังส่ง MG VS ไฮบริด ลุยตลาด เชื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการรถราคาต่ำล้าน ส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า ขึ้นอยู่กับซัพพลายบริษัทแม่ ลุ้นผลิตและส่งมอบอีก 7 พันคันภายในปีนี้

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงกลยุทธ์และแนวคิดของเอ็มจีว่า จากการศึกษาเชื่อว่าเทรนด์ของรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปจะยังคงได้รับความนิยมในตลาดโลกไปอีก 10 ปีข้างหน้า

และคาดว่าความต้องการใช้รถเครื่องยนต์สันดาปรวมทั้งเครื่องยนต์ไฮบริดราว ๆ 70% ของตลาดรถยนต์ ส่วนอีก 30% จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ในกลุ่มปลั๊ก-อิน ไฮบริด และแน่นอนว่า ประเทศไทยเองก็อยู่ในเทรนด์ดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐคือ 30@30 คือ ในปี 2030 ประเทศไทยจะผลิตยานยนต์ไฟฟ้า 30% ของการผลิตรถในประเทศทั้งหมด

สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย 2-3 ปีข้างหน้า มีการประเมินกันว่ารถยนต์ 4 กลุ่มหลักที่จะมีโอกาสเติบโต ได้แก่ 1.ปิกอัพ 2.กลุ่มอีโคคาร์-บีคาร์ 3.บี-เอสยูวี และ 4.บี-อีวี ซึ่งเอ็มจีเองมองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้เช่นเดียวกัน

โดยเฉพาะในกลุ่ม บี-เอสยูวี และบี-อีวี ซึ่ง เอ็มจีได้มีรถยนต์แนะนำในตลาดนี้ถึง 3 รุ่น ได้แก่ MG ZS, MG ZS EV และล่าสุดกับการแนะนำรถ MG VS HEV ออกสู่ตลาด ซึ่งเป็นรถยนต์ในกลุ่มกลางบน ของ บี-เอสยูวี ซึ่งมีการแข่งขันค่อนข้างสูงมาก แต่เอ็มจีมองเห็นโอกาสและช่องว่างทางการตลาด โดยเฉพาะตลาดที่เป็นกลุ่มกลางบน ที่เป็นรถยนต์ในกลุ่มเครื่องยนต์ไฮบริดอย่าง MG VS ระดับราคา 859,000-919,000 บาท พร้อมตั้งเป้ายอดขายไว้เดือนละ 1,000 คันเป็นอย่างน้อย และมีส่วนแบ่งตลาด 25-30% ของยอดขายรถในกลุ่ม บี-เอสยูวี ได้อย่างแน่นอน

หลังจากก่อนหน้านี้ เอ็มจีได้แนะนำและเปิดตลาดรถยนต์ในกลุ่มบี-เอสยูวี เป็นรายแรก กับ MG ZS โดยเจาะกลุ่มลูกค้าระดับเริ่มต้น และกลุ่มคนที่ต้องการขยับจากรถยนต์นั่งขนาดเล็กขึ้นมา ด้วยระดับราคาจำหน่ายอยู่ที่ 700,000-800,000 บาท ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จ และส่งให้เอ็มจีกลายเป็นผู้นำในตลาดนี้ ก่อนที่จะมีผู้เล่นรายอื่น ๆ ได้แนะนำรถเข้ามาในตลาด ทั้งในส่วนของเครื่องยนต์สันดาปและเครื่องยนต์ไฮบริด

“เรามานั่งมองว่า ตลาดบี-เอสยูวี น่าจะเป็นตลาดที่เติบโตขึ้น และในกลุ่มบน ๆ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ไฮบริด ที่มีในตลาดส่วนใหญ่ราคาจะทะลุไป 9 แสนปลาย หรือกว่าหนึ่งล้านบาท ดังนั้น เราจึงเข้ามาแทรกช่องว่างของตลาดตรงนี้ และเชื่อว่ารถของเราน่าจะสามารถแข่งขันได้เป็นอย่างดี” นายพงษ์ศักดิ์กล่าว

MG VS HEVขณะที่ความกังวลเรื่องปัญหาเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) ในการผลิตรถยนต์ ที่กำลังเป็นปัญหาต่อเนื่อง และทำให้การส่งมอบรถยนต์ทำได้ค่อนข้างจำกัดนั้น

ส่วนเอ็มจี ต้องยอมรับว่าได้รับผลกระทบโดยตรง เห็นได้จากยอดขายใน 6 เดือนแรก เดิมตั้งเป้าว่าจะขายที่ 20,000 คัน แต่เราทำได้เพียง 15,000 คัน หลัก ๆ เป็นปัญหามาจากตรงนี้ โดยเฉพาะรถยนต์รุ่นที่มีเทคโนโลยีค่อนข้างเยอะ มีความเป็นระบบอัตโนมัติที่เยอะก็จะกระทบหนัก

อย่าง MG ZS EV ถือว่ากระทบหนัก ปัจจุบันเรามียอดคำสั่งซื้อกว่า 3,000 คัน แต่หลังจากเปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคม เพิ่งส่งมอบได้แค่ 80 คันเท่านั้น ขณะที่รุ่น MG EP แม้จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเช่นเดียวกัน แต่เทคโนโลยีไม่ได้ซับซ้อนมากนัก แต่ก็ต้องใช้เวลารอเช่นเดียวกัน โดยมียอดอยู่ราว ๆ 4,000 คัน ทั้งนี้ บริษัทได้พยายามทำงานอย่างหนักกับบริษัทแม่ เพื่อพยายามจัดสรรโควตามาตอบสนองความต้องการของลูกค้าชาวไทยให้เร็วที่สุด

ปัจจุบันรถทั้ง 2 รุ่นบริษัทได้หยุดรับจองไปแล้ว เพื่อเร่งเคลียร์รถที่ค้างส่งมอบ ซึ่งคาดว่าเมื่อเคลียร์จบในช่วงปลายปีก็จะมีการเปิดรับจองอีกครั้ง

ปีนี้ยอดขายลดลง 20% จากเป้า 50,000 คัน เหลือ 40,000 คัน เป็นผลมาจากปัญหา เซมิคอนดักเตอร์, ซัพพลายชิ้นส่วนที่เป็นผลต่อเนื่องมาจากการประกาศชัตดาวน์ในบางประเทศ และความล่าช้า ต้นทุนทางโลจิสติกส์ และทำให้เชื่อว่ายอดขายรถยนต์โดยรวมปีนี้น่าจะอยู่ที่ 850,000 คัน