Market-think : นโยบาย “ก้าวไกล”

พรรคก้าวไกล
คอลัมน์ : Market-think
ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์

ถ้าผมมีมนต์วิเศษ สิ่งแรกที่จะทำ คือ ลบบทความที่เขียนไปเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนที่เตือนให้นักธุรกิจวางแผนรับมือกับนโยบายของรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้ง

ด้วยความเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ใครจะไปนึกว่าผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยจะแพ้พรรคก้าวไกล

และแกนนำจัดตั้งรัฐบาล คือ พรรคก้าวไกล

“ก้าวไกล” แรงเกินความคาดหมาย

ไม่ใช่แค่นักวิเคราะห์การเมือง หรือการประเมินของพรรคการเมืองอื่น ๆ

เพราะแม้แต่คนในพรรคก้าวไกลยังนึกไม่ถึงว่าจะได้ถึง 152 เสียง

และชนะ “เพื่อไทย”

ทั้งที่เป็นพรรคที่นักการเมืองทุกคนยอมรับว่าไม่มีการซื้อเสียงเลย

แต่ชนะทั้งใน กทม. นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต ฯลฯ

ถ้าลองไปกดดูตัวเลขคะแนนบัญชีรายชื่อของพรรคในเว็บไซต์ของ กกต.

คุณจะตกใจ

เพราะ “ก้าวไกล” ชนะในจังหวัดที่คุณไม่คาดคิดมาก่อน

ส.ส.เขตอาจแพ้ แต่คะแนนพรรคชนะ

ภาคใต้ ก้าวไกลชนะ

บุรีรัมย์ ชนะ

สุราษฎร์ธานี ชนะ ฯลฯ

ลองกดดูเล่น ๆ ได้เลยครับ แล้วจะรู้ว่าสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้แรงจริง ๆ

ประเด็นที่นักธุรกิจส่วนใหญ่กังวลคือ แนวทางของ “ก้าวไกล” เป็นรัฐสวัสดิการอ่อน ๆ และการชนกับทุนผูกขาด

ไม่แปลกที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะหล่นฮวบ ต้อนรับรัฐบาลใหม่

เช่นเดียวกับหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่บางแห่ง ที่นักลงทุนคิดว่าเป็นเป้าหมายการพุ่งชนของพรรคก้าวไกล

รวมทั้งเรื่อง “สุราก้าวหน้า”

นักธุรกิจใหญ่หลายคนเริ่มกังวลกับค่าแรง 450 บาท ทันที ตามนโยบายของ “ก้าวไกล”

และอื่น ๆ อีกมากมาย

แต่ในความเป็นจริงของการจัดตั้งรัฐบาล พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง ได้ ส.ส. 152 คน

พรรคเพื่อไทย 141 คน

มากกว่าแค่ 11 คน

ธรรมชาติของการเจรจาต่อรองจัดตั้งรัฐบาล เมื่อคะแนนเสียงไม่ได้แตกต่างกันมาก

อำนาจต่อรองของพรรคก้าวไกลและเพื่อไทยจึงใกล้เคียงกันมาก

และปัญหาใหญ่ของพรรคก้าวไกลที่แตกต่างจากพรรคอื่นคือ มีบุคลากรที่จะรับตำแหน่ง “รัฐมนตรี” ไม่เพียงพอ

เพราะส่วนใหญ่อายุไม่ถึง 35 ปี

เป็นรัฐมนตรีไม่ได้

นอกจากนั้น วิธีคิดของพรรคก้าวไกลยังแตกต่างจากพรรคใหญ่ ๆ ทั่วไป

เก้าอี้ที่เป็นเป้าหมายของเขานอกจากกระทรวงหลักอย่าง กระทรวงมหาดไทย กลาโหม คลัง ฯลฯ

ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นกระทรวงด้านสังคมที่พรรคใหญ่ถือว่าเป็นกระทรวงเล็ก

เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ กระทรวงการอุดมศึกษา ฯลฯ อะไรพวกนี้

ดังนั้น โอกาสที่กระทรวงเศรษฐกิจจะอยู่ในมือของพรรคเพื่อไทยจึงมีสูงมาก

บางที “เพื่อไทย” อาจได้กระทรวงพาณิชย์ เกษตรฯ คมนาคม ฯลฯ

นโยบายเศรษฐกิจอาจต้องดึงมากลาง ๆ ไม่ประชานิยมมากเกินไปแบบ “เพื่อไทย”

แต่ก็ไม่ถึงขั้นรัฐสวัสดิการ

นักธุรกิจหรือนักลงทุนอาจสบายใจขึ้น เพราะคุ้นเคยกับวิธีคิดของพรรคเพื่อไทย

แม้ว่าการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้อาจแตกต่างจากรัฐบาลชุดอื่น เพราะมีการร่างเอ็มโอยูในการร่วมรัฐบาล

เรื่องที่เห็นร่วมกันก็จะประกาศให้ชัด ๆ ไปเลย

เช่น สุราก้าวหน้า การเกณฑ์ทหารด้วยความสมัครใจ ฯลฯ

แต่พอแบ่งกระทรวงแล้ว และเสียง ส.ส.ของ 2 พรรคใกล้เคียงกัน

ผมเชื่อว่านโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลจะไม่ออกมาสุดขั้วจนเกินไป

น่าจะเป็น “ทางสายกลาง” ที่ภาคธุรกิจรับได้

แต่ภาคธุรกิจคงต้องเปิดใจรับแนวคิดใหม่ ๆ บ้าง

เพราะอาจจะดีกว่าวันนี้

ครับ เราต้องเปิดใจให้โอกาสกับสิ่งที่เราไม่รู้