เฮียฮ้อ-สุรชัย ผู้นำค่ายเพลงเปลี่ยนสู่บริษัทคอมเมิร์ซหมื่นล้าน “ที่ไหนมีปลา RS จะไป”

เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์

ประวัติ เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ผู้นำ RS เติบใหญ่จากค่ายเพลงเบอร์ 2 ของประเทศ สู่บริษัทคอมเมิร์ซหมื่นล้าน ด้วยคติ “ที่ไหนมีปลา อาร์เอสจะไป” และความชื่อว่า “คนอาร์เอสเจ๋ง ทำอะไรก็ได้”

ในอดีตเมื่อราว 20-30 ปีที่แล้ว ชื่อของ เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ เป็นที่รู้จักในฐานะผู้บริหารค่ายเพลงอาร์เอส (RS) ผู้ปั้นวัยรุ่นจำนวนมากมายให้กลายเป็นศิลปินดังขวัญใจมหาชน 

แต่ในยุคปัจจุบัน คนไทยรู้จักเฮียฮ้อในบทบาทที่แตกต่างออกไป เพราะค่ายเพลงอาร์เอสในวันนั้น ได้เติบโตขยายบริษัทเป็น อาร์เอส กรุ๊ป (RS Group) ที่ทำธุรกิจหลากหลาย ภายใต้แม่ทัพคนเดิมที่นำทัพมา 4 ทศวรรษ  

“ประชาชาติธุรกิจ” ชวนทำความรู้จัก เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อาร์เอส กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้นำที่พาอาร์เอสเติบใหญ่จากค่ายเพลงอันดับ 2 ของประเทศขึ้นไปเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 15,950 ล้านบาท (ณ วันที่ 17 มกราคม 2566) 

 

ชีวิตส่วนตัว

เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ เกิดวันที่ 5 พฤศจิกายน 2505 ในครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีน ฐานะทางบ้าน “ค่อนข้างยากจน” มีพี่น้อง (รวมทั้งเจ้าตัว) จำนวน 7 คน หนึ่งในนั้นคือพี่ชายคนสำคัญ เฮียจั๊ว-เกรียงไกร เชษฐโชติศักดิ์ ผู้ก่อตั้งกิจการซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นค่ายเพลงอาร์เอส  

เฮียฮ้อเคยให้สัมภาษณ์ว่า ใฝ่ฝันอยากมีชีวิตที่ดี อยากมีฐานะร่ำรวยมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะเกิดในครอบครัวที่ไม่มีเงิน และเป็นลูกคนกลาง รู้สึกว่าตัวเองถูกมองข้าม จึงต้องผลักดันตัวเองมาก ๆ เพื่อให้มีเงิน มีชีวิตที่ดี 

ADVERTISMENT

ด้านชีวิตครอบครัว เฮียฮ้อแต่งงานกับ สุจีรา เชษฐโชติศักดิ์ เมื่อปี 2529 มีบุตรชายด้วยกันสองคน คือ เชษฐ เชษฐโชติศักดิ์ และ โชติ เชษฐโชติศักดิ์ 

เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์

 

ทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย

เฮียฮ้อเริ่มทำงานตอนเรียน ม.ศ. 3 ขณะอายุประมาณ 17 ปี โดยช่วยงานพี่ชายคนโต เฮียจั๊ว-เกรียงไกร เชษฐโชติศักดิ์ ที่ทำกิจการอัดเพลงขาย  

หลังจากนั้นอีกสองปี ขณะเรียน ม.ศ. 5 อายุ 19 ปี ก็ตัดสินใจหยุดเรียนหนังสือมาช่วยงานเฮียจั๊วอย่างจริงจัง 

ลักษณะกิจการที่สองพี่น้องช่วยกันทำตอนนั้นคือ นำแผ่นเสียงต้นฉบับมาคัดเลือกเพลงดัง ๆ อัดลงเทปคาสเซต เรียกได้ว่าเป็นการทำเทปอัลบั้มรวมฮิตออกมาขาย ซึ่งในยุคนั้นยังไม่มีกฎหมายลิขสิทธิ์ จึงไม่ผิดกฎหมาย 

 

บริหารค่ายเพลง RS

ต่อมาในปี 2525 เฮียฮ้อกับเฮียจั๊วเริ่มทำค่ายเพลง เนื่องจากธุรกิจเพลงกำลังมีจุดเปลี่ยนคือ มีกฎหมายลิขสิทธิ์เข้ามา ทำให้กิจการอัดเทปขายที่เคยไม่ผิดกฎหมายกลายเป็นผิดกฎหมาย ไม่สามารถทำต่อได้ จึงคิดว่าต้องมีศิลปินของตัวเอง ต้องมีเพลงของตัวเอง จึงเกิดค่ายเพลงขึ้นมาในชื่อ บริษัท อาร์.เอส. ซาวด์ จำกัด 

“จริง ๆ การทำธุรกิจตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน หลาย ๆ อย่างมาจากสถานการณ์และโอกาส อาจจะไม่ได้เกิดจากการวางแผน” เฮียฮ้ออธิบาย 

เฮียฮ้อเล่าว่า ค่ายเพลงค่ายนั้นเริ่มต้นด้วยทุน 50,000 บาท ที่คุณพ่อขายทองมาให้ใช้เป็นทุนก้อนแรก ซึ่งค่ายเพลงที่ทำก็ไม่ได้สำเร็จในทันที “ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาก่อน”

เฮียฮ้อไม่มีความสามารถทางดนตรี แต่ชอบฟังเพลง เป็นคนฟังเพลงเยอะมาตั้งแต่เด็ก ๆ เฮียฮ้อใช้ความรู้สึก-สัญชาตญาณในการทำธุรกิจเพลง ทั้งการคัดเลือกศิลปินและการคัดเลือกเพลงโปรโมต เฮียฮ้อจะเชื่อความรู้สึกแรกเสมอ เพราะคิดว่า ต้องฟังรอบแรกแล้วชอบเลย เพลงนั้นจึงจะดัง

อาร์เอส กรุ๊ป

 

ขยายสู่ธุรกิจสื่อเกือบครบวงจร

ในเวลาต่อมา เมื่อทำค่ายเพลงประสบความสำเร็จ ครองตลาดเพลงวัยรุ่น (โดยเฉพาะวัยทีน) ทั่วประเทศได้แล้ว อาร์เอสก็นำ asset ที่บริษัทมี นั่นคือ “ศิลปินดัง” ไปใช้ประโยชน์ ขยายต่อยอดสู่ธุรกิจสื่ออื่น ๆ

อาร์เอสเริ่มธุรกิจภาพยนตร์ในปี 2538
เริ่มธุรกิจละครทีวีในปี 2540
และเริ่มธุรกิจสถานีวิทยุในปี 2542 

กลยุทธ์ทำเงินจากธุรกิจสื่อของอาร์เอส ก็คือ ให้นักร้องดังของค่ายไปแสดงหนัง แสดงละคร เพื่อดึงดูดแฟน ๆ ของนักร้องดังเหล่านั้นให้ดูหนังดูละคร และสนับสนุนผลงานอื่น ๆ รวมถึงให้นักร้องบางคนไปเป็น ดีเจ.ด้วย

อาร์เอส กรุ๊ป

 

ทำธุรกิจโชว์บิซ และทีวีช่อง 8

หลังจากธุรกิจเพลงซบเซาจากการโดน mp3 เข้ามาดิสรัปต์ และช่องทางทำเงินของธุรกิจเพลงเปลี่ยนไป เฮียฮ้อจึงลดสเกลธุรกิจเพลงลง เดินหน้าลุยธุรกิจใหม่ 

ปี 2549 เฮียฮ้อพาบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในชื่อ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) 

ปี 2550 วาระครบรอบ 25 ปี เฮียฮ้อก่อตั้งบริษัท อาร์เอส อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดแคสติ้ง แอนด์ สปอร์ต แมเนจเมนต์ จำกัด และบริษัท อาร์เอส ดรีม จำกัด ทำธุรกิจด้านกีฬา และธุรกิจโชว์บิซ 

เฮียฮ้อสร้างความฮือฮาในยุคนี้โดยการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโร 2008 (พ.ศ. 2551) จากนั้นรุกเข้าสู่ธุรกิจทีวีดาวเทียมในปี 2552 กับช่อง YOU Channel และสบายดีทีวี ก่อนจะเปิดตัวทีวีช่อง 8 ในปี 2553 และซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2 สมัย คือ ฟุตบอลโลก 2010 กับ 2014 

ปี 2557 อาร์เอสเข้าสู่ธุรกิจทีวีดิจิทัล โดยใช้แบรนด์ “ช่อง 8” ที่ปั้นติดตลาดมาก่อนหน้านั้นแล้ว 

เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์

 

ขยายสู่ธุรกิจความงาม ด้วยความเชื่อ “RS ทำอะไรก็ได้”

ปี 2559 ขณะที่ธุรกิจทีวีกำลังไปได้ดี เฮียฮ้อก็สร้างความฮือฮาอีกครั้งด้วยการเปิดตัวธุรกิจใหม่ที่ต่างจากธุรกิจอื่น ๆ ที่ทำมา นั่นคือการเข้าสู่ธุรกิจสินค้าความงาม 

เฮียฮ้อก่อตั้ง บริษัท ไลฟ์ สตาร์ จำกัด ขึ้นมาเป็นบริษัทลูกของอาร์เอสเพื่อทำธุรกิจผลิตภัณฑ์ความงาม เปิดตัวโปรดักต์แรก คือ ครีมบำรุงผิวแบรนด์ MAGIQUE (มาจีค) ที่สร้างกระแส talk of the town ด้วยการใช้เงิน 7 หลักดึง มาช่า วัฒนพานิช มาเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ 

เฮียฮ้อทำธุรกิจที่ต่างออกไปจากธุรกิจเดิมด้วยความเชื่อว่า “คนอาร์เอสเจ๋ง ทำอะไรก็ได้”

ในต้นปีนั้น หลายเดือนก่อนจะเปิดตัวธุรกิจความงาม เฮียฮ้อได้แย้ม ๆ แผนธุรกิจให้ “ประชาชาติธุรกิจ” ฟังว่า “อีก 4-5 เดือนนี้จะเปิดตัวอะไรบางอย่างที่ทุกคนจะมีข้อสงสัยว่าทำไมเป็นอย่างนี้ ทำได้ยังไง มันจะสะท้อนที่เฮียพูดว่า คนของอาร์เอสเจ๋ง ทำอะไรก็ได้ อาร์เอสวันนี้พร้อมมาก เพราะคนในอาร์เอสมีศักยภาพ เราชมตัวเองว่าเจ๋ง เราก็ต้องมองด้วยว่าเราทำอะไรบ้าง ถ้าทำอะไรก็มีแต่เจ๊ง คงใช้คำนี้ไม่ได้”

 

อาร์เอส กรุ๊ป เป็นบริษัทคอมเมิร์ซเต็มตัว

ปี 2560 อาร์เอสขยายสู่ธุรกิจพาณิชย์ รายได้เติบโต 600% จากปีก่อนหน้า และปี 2561 เปลี่ยนเป็นบริษัทพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ 

ปี 2563 บริษัทอาร์เอสปรับแบรนด์เป็น “อาร์เอส กรุ๊ป” ซึ่งเฮียฮ้อให้นิยามว่า อาร์เอส กรุ๊ป เป็น entertainmerce คือ เป็นธุรกิจคอมเมิร์ซที่มีสื่อเป็นส่วนประกอบ และแตกต่างจากคอมเมิร์ซขอบริษัทอื่นตรงที่อาร์เอสนำความบันเทิงเข้ามาร่วมในธุรกิจในสัดส่วนที่มาก 

ในยุคนี้ อาร์เอสเปิดตัวธุรกิจใหม่มากมาย อย่างเช่น เปิดตัว ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ในปี 2564 และ ซื้อกิจการ หน่วยธุรกิจขายตรงของยูนิลีเวอร์ ด้วยมูลค่า 880 ล้านบาท ในปี 2565 

หากจะมองภาพสัดส่วนธุรกิจของอาร์เอสในยุคนี้ จะเห็นได้จากสัดส่วนรายได้ของ อาร์เอส กรุ๊ป ในปี 2564 เป็นรายได้จากธุรกิจพาณิชย์ 2,263 ล้านบาท ธุรกิจสื่อ 1,079 ล้านบาท ธุรกิจเพลงและอื่น ๆ 231 บาท รวมรายได้จากการขายและบริการ 3,573 ล้านบาท 

อย่างไรก็ตาม ในการแถลงข่าวล่าสุด วันที่ 17 มกราคม 2566 เฮียฮ้อประกาศปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ โดยแบ่งกลุ่มธุรกิจออกเป็น 6 กลุ่ม ประกอบด้วย ธุรกิจสื่อ ธุรกิจเพลง ธุรกิจคอมเมิร์ซ ธุรกิจขายตรง ธุรกิจสำหรับสัตว์เลี้ยง และธุรกิจดูแลการลงทุน 

เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์

 

การบริหารแบบเฮียฮ้อ

สไตล์การทำงานของเฮียฮ้อ คือ เป็นคนคิดเร็ว ทำงานเร็ว ซึ่งนั่นส่งผลให้อาร์เอสเป็นบริษัทที่เปลี่ยนแปลง-เคลื่อนที่เร็วด้วย 

เฮียฮ้อบอกในรายการ ป๋าเต็ดทอล์ก ว่า ในการทำธุรกิจนั้นไม่สนใจ “คู่แข่ง” มากเท่า “คู่ค้า” กับ “ลูกค้า” โดยอธิบายเหตุผลว่า “การทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน คู่แข่งไม่ได้ส่งผลกับเราเยอะ ถ้ากิจการของเราไม่ดี เป็นผลจากเราตามลูกค้าไม่ทัน เราไม่มีเน็ตเวิร์ก ไม่มีคู่ค้าที่ดีพอ ฉะนั้นผมไม่ให้ความสำคัญกับคู่แข่ง ไม่ใช่ไม่สนใจ แต่สนใจในอันดับหลัง ๆ เพราะคิดว่าไม่ได้เป็นปัจจัยใหญ่แล้ว และเหตุผลที่สอง การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันข้ามธุรกิจง่ายมาก จะมองแต่คู่แข่งในปัจจุบันไม่ได้ เราไม่รู้ว่าวันไหนบริษัทไหนจะมาเป็นคู่แข่ง”

นอกจากนั้น เฮียฮ้อเผยวิสัยทัศน์ที่สะท้อนให้เห็นว่า อาร์เอสจะไม่หยุดนิ่ง จะขยายไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ อีกมากมายในอนาคต 

“ผมคิดว่าที่ไหนมีปลา ผมก็ไปได้ มันไม่ใช่ที่สำหรับชาวประมงหรือคนเดินเรืออีกต่อไปแล้ว มันมีปลาผมก็ไป แพ้หรือชนะก็ค่อยว่ากัน”

เฮียฮ้อยกตัวอย่างอธิบายอีกว่า อาร์เอสมีรายได้จากธุรกิจคอมเมิร์ซเกือบ 3,000 ล้านบาท แต่รายได้ของคู่แข่งที่อยู่ในตลาดมาก่อนก็ไม่ได้ลดลงเท่าไรนัก 

“ยังมีปลาให้จับอีกเยอะ เพราะฉะนั้น การที่เราจะโตได้ ไม่ใช่ว่าคู่แข่งต้องอ่อนแอ และการที่ยอดขายของคู่แข่งไม่ดี ก็ไม่ใช่เพราะเรามา การทำธุรกิจยุคนี้ คู่แข่งมีผลน้อยมาก”

เฮียฮ้อกล่าวอย่างเข้าใจเกมอีกว่า โลกตอนนี้เปลี่ยนไป ผู้บริโภคเป็นยิ่งกว่าพระเจ้า ทุกอย่างอยู่ในมือผู้บริโภคหมด ดังนั้น ผู้บริโภคสำคัญกว่าคู่แข่ง คนทำธุรกิจต้องเข้าใจบริบทที่เปลี่ยนไป 

 

อ้างอิง : 

………………………….

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :