ทักษิณทวีตขอกลับบ้าน อยากเลี้ยงหลายภายใน ก.ค. ก่อนวันเกิด ชี้แก่แล้ว และ 17 ปีที่ผ่านมาต้องพลัดพรากครอบครัว
วันที่ 9 พฤษภาคม 2566 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 โพสต์ทวิตเตอร์เช้านี้ ข้อความระบุว่า “ผมขออนุญาตอีกครั้ง ผมตัดสินใจแล้วว่าจะกลับบ้านไปเลี้ยงหลานภายในเดือนกรกฎาคมนี้ก่อนวันเกิดผมครับ ขออนุญาตนะครับ เกือบ 17 ปีแล้วที่ต้องพลัดพรากจากครอบครัว ผมก็แก่แล้วครับ”
“ไม่ต้องกังวลว่าผมจะเป็นภาระพรรคเพื่อไทย ผมจะเข้าสู่กระบวนการกฎหมายและวันที่ผมกลับยังเป็นช่วงรัฐบาลรักษาการของ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ ทั้งหมดคือการตัดสินใจของผมเองด้วยความรักผูกพันธ์กับครอบครัว/แผ่นดินเกิดและเจ้านายของเรา”
หลังจากเมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้ทวีตข้อความระบุว่า “เช้าวันนี้ ผมดีใจมากที่ได้หลานคนที่ 7 เป็นชาย ชื่อ ธาษิณ จากน้องอิ๊งค์ แพทองธาร หลานทั้ง 7 คน คลอดในขณะที่ผมต้องอยู่ต่างประเทศ ผมคงต้องขออนุญาตกลับไปเลี้ยงหลาน เพราะผมอายุจะ 74 ปี กรกฎานี้แล้ว พบกันเร็ว ๆ นี้ ครับ ขออนุญาตนะครับ”
ขณะที่ มติชน รายงานว่า เมื่อค่ำวันที่ 8 พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย (พท.) และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วยนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรค พท. และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ร่วมตอบคำถามหัวข้อ “หมดเปลือกเพื่อไทย” ผ่านทาง TikTok @moddamkachapa โดยมี มดดำ คชาภา ตันเจริญ พิธีกรชื่อดัง เป็นผู้ดำเนินรายการ
เมื่อถามว่า เหลือเวลาอีก 6 วันที่คนไทยทั้งประเทศจะตัดสินใจในการเลือกตั้ง แต่คนก็ยังไม่มั่นใจว่าหากเลือกพรรค พท.มาแล้วจะไปจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายเศรษฐากล่าวว่า ก่อนเข้ารายการนางแบกบอกว่าเลิกตอบคำตอบนี้ได้แล้ว เพราะตอบมาชัดเจนแล้ว แต่ยืนยันว่าเรายึดโยงกับประชาชน ไม่เอารัฐประหารและไม่เอา 2 ป.แน่นอน
ด้าน น.ส.แพทองธารกล่าวว่า เราไม่จับมือกับเขาแน่นอน แต่ถามว่าจะจับมือกับใคร ผลการเลือกตั้งยังไม่ออก แต่เรามีเกณฑ์ของเราอยู่แล้วว่า 1.ต้องเห็นด้วยนโยบายตรงกัน 2.นายกรัฐมนตรีมาจากเรา และ 3.รัฐมนตรีกระทรวงสำคัญ ๆ ต้องมาจากเรา นี่เป็นเกณฑ์สำคัญ ว่าในส่วนนี้จะรับได้หรือไม่ในการที่จะมาจับมือกับเรา
เมื่อถามว่า ในโซเชียลมีการผลิตวาทกรรมเชิงลบ ใช้ไอโอโจมตีว่า ถ้าเลือกพรรค พท.จะเล่นเกมการเมือง ประชาชนไม่ได้อะไร รู้สึกอย่างไร นายเศรษฐากล่าวว่า เข้าใจว่าเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการแข่งกัน ทุกฝ่ายต้องงัดวิชาออกมา พรรค พท.ไม่ต้องการอยู่ในวงโคจรแบบนี้ เราคิดใหญ่ ทำเป็น นโยบายของพรรค 20 ปีที่ผ่านมา เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค โอท็อป เราประสบความสำเร็จและยังใช้อยู่ ถือเป็นบทพิสูจน์ว่าแม้จะเจอวิกฤตถูกยุบพรรค เราก็พิสูจน์ว่าเราผ่านมาได้ตลอด
ถามต่อว่า ในโซเชียลยังคงบอกว่าเราจะจับกับเผด็จการ ทำไมเรื่องนี้ถึงไม่จบเสียที น.ส.แพทองธารกล่าวว่า มันคงเป็นหนึ่งในกิจกรรมของการเมืองบนเส้นทางประชาธิปไตย ที่ต้องดิสเครดิตกัน ต่อให้ตนตอบชัดแค่ไหน แต่คนก็ยังพูดอยู่ ตอนนี้รอผลการเลือกตั้งอย่างเดียว
เมื่อถามว่า สมการการจับมือกับพรรคก้าวไกล (ก.ก.) พอจะเป็นไปได้หรือไม่ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว เราไม่ได้มีปัญหากัน เราเป็นพรรคฝ่ายค้าน ทำงานมาด้วยกัน แต่สุดท้ายต้องรอเสียงของประชาชนก่อน มันคือข้อเท็จจริง ไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ ต้องดูว่าเรายังได้เป็นพรรคอันดับหนึ่งหรือไม่ รวมถึงเงื่อนไขของเรา พรรคอื่นรับได้หรือไม่
ด้านนายเศรษฐากล่าวเสริมว่า โดยเฉพาะเรื่องจะแก้หรือยกเลิกมาตรา 112 ก็ยังกำกวม ดังนั้น เรื่องนี้ต้องมาคุยกัน แน่นอนว่าเป็นพรรคฝ่ายค้านด้วยกันมา ตนไม่ติดอะไร
เมื่อถามถึงจุดยืนในมาตรา 112 ของพรรค พท.เป็นอย่างไร น.ส.แพทองธารกล่าวว่า เราไม่ยกเลิก ยืนยันตรงนี้ ถ้าจะแก้ต้องไปคุยกันในสภา เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทันทีที่เราเป็นรัฐบาล เราจะขอความเมตตาจากศาล เพราะยังมีน้อง ๆ ที่ติดคุกอยู่ ว่าจะทำอะไรอย่างไรต่อได้บ้าง มองว่าเรื่องนี้ถูกดึงมาเป็นเกมการเมือง ซึ่งเราไม่สนับสนุน บ้านเมืองเรามีพระมหากษัตริย์ ซึ่งต้องได้รับการคุ้มครอง แต่ต้องไม่เอากฎหมายนี้มาเป็นเกมการเมือง
ด้านนายเศรษฐากล่าวเสริมว่า ต้องดูเรื่องการให้ประกันตัว เพื่อให้น้อง ๆ ออกมาต่อสู้ได้อย่างเป็นธรรม พรรค พท.เรามีนโยบายสิทธิเสรีภาพเท่าเทียม ต้องเปิดพื้นที่ปลอดภัย นำเรื่องนี้มาถกกันในสภา ภายใต้กรอบกฎหมายอย่างสุภาพ ไม่ก้าวร้าว
เมื่อถามถึงนโยบายดิจิทัลวอลเลต 1 หมื่นบาทที่หลายฝ่ายบอกว่าเกิดขึ้นไม่ได้ ต้องกู้เงินมาใช้ในโครงการ นายเศรษฐากล่าวว่า ตรรกะของโครงการนี้เป็นเงินบาท ไม่ใช่เงินสกุลใหม่ ทำได้แน่นอน ให้กับคนอายุ 16 ปีซึ่งมีวุฒิภาวะแล้ว ใช้ในรัศมี 4 กม. เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน คนที่มีร้านค้าหรือภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ก็จะเร่งการผลิต เร่งจ้างงาน เพื่อนำสินค้ามารองรับกำลังซื้อ ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งมโหฬาร และทำครั้งเดียว ไม่ต้องผูกพันงบฯข้ามปี ดังนั้น ไม่ต้องกู้เพิ่ม
เมื่อถามว่า หลายฝ่ายมองว่าพรรค พท.กำลังขายความกลัว ไม่ใช่ความหวัง นายเศรษฐากล่าวว่า ตนเป็นคนชัดเจนที่สุดแล้ว ที่เราพูดเรื่องนโยบายกันมาทั้งหมด ตนไม่ได้ขายความหวัง ตนฉายความหวังและแรงบันดาลใจ และไม่ได้ขายความกลัว แต่ขายความชัวร์ว่า 8 ปีแย่ขนาดไหน เจ๊งขนาดไหนแล้ว เรายังมีความสี่ยงจากรัฐธรรมนูญที่เขียนโดยคณะรัฐประหาร และยังมีอีก ส.ว. 250 คน ดังนั้น ต้องเลือก พท.ด้วยความชัวร์ เลือก พท.ให้แลนด์สไลด์ จะได้ไม่ต้องคาอยู่ในหลุมดำ ได้รัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ไปจับกับ ส.ว. ความลำบากจะอยู่ที่พี่น้องประชาชน ดังนั้น ขอให้เลือกอย่างมียุทธศาสตร์ เพื่อให้พี่น้องหลุดพ้นจากหลุมดำ
เมื่อถามว่า ตอนนี้เหมือนฝ่ายค้านสาดโคลนใส่กันเอง น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ได้อัพเดตโซเชียลอยู่บ้าง บนเส้นทางประชาธิปไตย ใครรักพรรคไหนก็ต้องเชียร์พรรคนั้น อิ๊งค์เองก็เป็นนางแบกของพรรค พท. แต่มองว่าไม่ควรจะมาทะเลาะกันเอง ปัญหาประเทศใหญ่มากเกินกว่าจะมาทะเลาะกันเอง หนทางข้างหน้าสำคัญกว่า
ด้านนายเศรษฐากล่าวว่า ตนพยายามไม่ตอบโต้ พูดแต่นโยบายของเรา ซึ่งเรามั่นใจว่าถ้าเราเป็นแกนหลักจัดตั้งรัฐบาล นายกฯ มาจากพรรค พท.แน่นอน หากเราได้รับฉันทามติจากประชาชนเป็นพรรคเสียงข้างมาก ทำไมจะต้องไปยกตำแหน่งนายกฯ ให้คนอื่น แบบนั้นเราคงไม่มีที่ยืนในสังคม
เมื่อถามว่า แคนดิเดตพรรค พท.อาศัยนามสกุลออกมาเป็นนายกรัฐมนตรี นามสกุลชินวัตรมีวันนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มีประชาชน ซัพพอร์ต น.ส.แพทองธารกล่าวว่า เป็นเรื่องจริง พรรค พท.มีวันนี้ไม่ได้เลยถ้าประชาชนไม่ซัพพอร์ต ถามว่าทำไมต้องเป็นชินวัตร เป็นชินวัตรเพราะประชาชนเลือก ชินวัตรไม่ได้ซื้อมา ที่คุณพ่อ (นายทักษิณ ชินวัตร) และคุณอา (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ชินวัตรไม่ได้จ่ายตังค์ แต่ประชาชนเลือก หากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซื้อขายกันได้ทั่วไป ก็คงไม่เป็นแบบนี้ แต่ที่เรามาได้เพราะประชาชนเลือกเข้ามา แม้ว่าพรรค พท.โดนยุบไปสองรอบ ตั้งแต่พรรคไทยรักไทยและพลังประชาชน แต่เรากลับมาได้และชนะการเลือกตั้ง เป็นเพราะประชาชนเลือก ไม่มีสิ่งอื่นใด ฉะนั้น ชินวัตรหรือไม่ หากประชาชนไม่เลือกก็ไม่มีสิทธิ
เมื่อถามว่า ถ้า พท.เป็นรัฐบาล คนงงว่าใครจะเป็นนายกฯ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ทุกคนพร้อมเป็น เราผ่านการรัฐประหารมามาก ดังนั้น จะเสนอชื่อนายกฯ คนเดียวไม่ได้ เราสามคนคุยกันตลอดว่าใครได้เป็นนายกฯ ต้องช่วยกัน ไม่มีใครหายไป เพราะเราต้องซ่อมประเทศครั้งใหญ่ คนอื่นอาจแย่งกันเป็น แต่อิ๊งค์เชื่อในตัวคุณเศรษฐา เราให้เกียรติกัน ไม่ได้มาแย่งกัน
ด้านนายเศรษฐากล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาเราตกเป็นเป้า แต่ถือเป็นความสบายใจของประชาชน ว่าถ้าเลือก พท.เรามีแคนดิเดตนายกฯให้สามคน หากเกิดแอ็กซิเดนต์ก็ยังมีแคนดิเดตนายกฯ อีกสองคน ไม่ว่ากรรมการบริหารพรรคจะเลือกใคร ทุกคนพร้อมซัพพอร์ตกัน
เมื่อถามว่าหลายฝ่ายมองว่าที่บ้านโดนมรสุมจนไม่กล้ามาเป็นนายกฯ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ถ้ากลัวจะเข้ามาหรือ นี่มาถึงจุดนี้แล้ว เราอยากทำให้มันไปต่อได้
เมื่อถามว่า มีหลายคนถามว่าทำไมแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค พท.ไม่กล้าดีเบต นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องของกล้าหรือไม่กล้า แต่นี่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เรามีวิธีการแสดงวิสัยทัศน์ต่างกันไป ตนเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ มีความซับซ้อนของนโยบาย เพราะนโยบายของเราเป็นนโยบายที่ต้องการทำความเข้าใจและมีหลายมิติ เราเทคแคร์คนทุกชั้น ทุกกลุ่ม ทุกภาค ฉะนั้น การออกไปพบปะพี่น้องประชาชนถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด การที่ให้ตนไปเถียงกับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคอื่น เขาไม่ได้เป็นศัตรูกับตน เขาไม่ให้ความรู้กับตนว่าพี่น้องประชาชนเดือดร้อนอย่างไร แต่การลงไปพบปะพี่น้องประชาชนไปพูดคุยกับเขา ทำให้ตนได้รู้และเข้าใจถึงปัญหาจริง ๆ แต่การไปดีเบตไม่ได้ช่วยตรงนี้
เมื่อถามว่าทำไมคนต้องเลือกพรรค พท.เบอร์ 29 นายเศรษฐากล่าวว่า เพราะเรามีนโยบายดี ๆ จากในอดีต เป็นนโยบายใหญ่ ทำได้จริง รวมทั้งมีนโยบายใหม่ ๆ เช่น เป๋าตังค์ดิจิทัล เติมเงินครอบครัวละ 2 หมื่นบาท ถือเป็นการดูแล รวมถึงการให้สิทธิเสรีภาพต่าง ๆ ทั้งการเกณฑ์ทหาร สมรสเท่าเทียม เชื่อว่าจะทำให้ทุกคนมีความสุข
ด้าน น.ส.แพทองธารกล่าวว่า เลือกพรรค พท.ไม่ต้องรอ เลือก พท.ประเทศเปลี่ยนทันที เราเคยแก้ปัญหามาแล้ว นโยบายเรากินได้ เราเพิ่มโอกาสให้คนทั้งประเทศ เรารู้และทำเป็น