
สุพัฒนพงษ์ ชี้ หนี้ครัวเรือนเกิน 80% ของจีดีพี ตั้งแต่ปี 2556-2557 อีกส่วนยอมรับหนี้ผลกระทบจากโควิด-19 ฝากรัฐบาลใหม่สางต่อ
วันที่ 29 พฤษภาคม 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน กล่าวถึงสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ที่ 15.09 ล้านล้านบาทว่า ในเรื่องนี้ต้องไปดูรายละเอียดเพราะส่วนหนึ่งเป็นหนี้ที่เพิ่มขึ้นมามากในช่วงหลังปี 2562 เนื่องจากมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
- พายุลูกใหม่จ่อเข้าไทย ชี้ความรุนแรงเท่า “เตี้ยนหมู่” ระวังน้ำท่วมใหญ่
- นายกฯตั้งบอร์ดใหญ่คุมแจกเงิน 10,000 บาท ห้าง-โมเดิร์นเทรดรับอานิสงส์
- กรมอุตุฯเตือน “พายุดีเปรสชั่น” เข้าไทย รับมือฝนตกหนัก-ท่วมฉับพลัน
โดยจากข้อมูลย้อนหลังพบว่าสถิติหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) นั้นสูงเกินกว่า 80% ของจีดีพีมาตั้งแต่ปี 2556-2557 หรือกว่า 10 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลมีเป้าหมายในการทำงานว่าต้องการให้หนี้ครัวเรือนของประเทศนั้นต่ำกว่าระดับ 80% โดยหนี้ครัวเรือนในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 86.9% ของจีดีพีลดลงจากระดับ 90% ของจีดีพีในช่วงวิกฤตโควิด-19 เนื่องจากเศรษฐกิจมีการขยายตัวดีขึ้นจากในช่วงโควิด-19 ที่เศรษฐกิจเคยหดตัว
“ต้องไปดูทั้งตัวเลขด้วยว่าการก่อหนี้ครัวเรือนในช่วงที่ผ่านมาหลายปีนั้นเป็นอย่างไร แต่แนวโน้มของหนี้ครัวเรือนนั้นเพิ่มขึ้นมาตลอดหลายปีตั้งแต่ปี 2556-2557 รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาเรื่องนี้มาโดยตลอดโดยมีเป้าหมายในการลดหนี้ครัวเรือนลงโดยมีเป้าหมายของการทำงานที่พยายามให้อยู่ในระดับไม่เกิน 80% ของจีดีพี” นายสุพัฒนพงษ์กล่าว
อีกทั้งเรื่องหนี้ครัวเรือนนั้นจะต้องไปดูในรายละเอียดด้วยว่าหนี้จำนวนนี้เป็นหนี้ที่มีปัญหาหรือไม่ เพราะบางส่วนเป็นการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อบ้านหรือรถยนต์ การซื้อสินค้าเหล่านี้ของประชาชนเป็นเรื่องที่เป็นความจำเป็นที่ต้องมีการซื้อ แต่คำถามคือทำอย่างไรให้หนี้ครัวเรือนไม่เกิดปัญหา คือสามารถบริหารจัดการได้เพราะถ้าผู้ที่ก่อหนี้สามารถบริหารจัดการได้ก็ไม่มีปัญหา
ผู้สื่อข่าวถามว่าหนี้ในส่วนนี้จะส่งผลต่อการใช้จ่ายและการบริโภคของประชาชนหรือไม่ นายสุพัฒพงษ์กล่าวว่า ก็ต้องดูว่าลักษณะของการก่อหนี้นั้นเป็นอย่างไร หากหนี้ที่ก่อแล้วมีปัญหาในการชำระหนี้ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังการใช้จ่ายของประชาชน
เมื่อถามว่ามีความกังวลหรือไม่ว่านโยบายของรัฐบาลใหม่จะมีส่วนสร้างหนี้ครัวเรือนให้เพิ่มขึ้น นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า ยังไม่ได้ศึกษาวิเคราะห์ในรายละเอียด ในเรื่องนี้ก็คงต้องให้รัฐบาลใหม่เข้ามาทำงานก่อน
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมารัฐบาลปัจจุบันพยายามที่จะแก้ไขปัญหาหนี้สิน โดยเฉพาะเรื่องการสร้างความเป็นธรรม ในประเด็นการคิดอัตราดอกเบี้ยไม่ให้สูงจนเกิดไป มีการออกกฎหมายที่สำคัญ เช่น พ.ร.บ.ทวงหนี้ ซึ่งกำหนดขั้นตอนการทวงหนี้ การคิดอัตราดอกเบี้ยที่ไม่แพง มีหน่วยงานกำกับดูแล
รวมไปถึงการกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์ครู ที่มีการปล่อยกู้ให้กับสมาชิก หรือไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ก็ต้องมีการกำกับดูแล ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องเข้าไปให้การสนับสนุน โดยสหกรณ์ครูเราก็กำหนดว่าการหักเงินเพื่อชำระหนี้ต้องให้ผู้กู้มีเงินเดือนเหลือไม่น้อยกว่า 30% ไม่ใช่ตัดเงินจนหมด
“หลายเรื่องถือว่าทำได้ดีพอสมควร และรัฐบาลได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เป็นหน่วยงานหลักในการดูแลแก้ไขปัญหาหนี้สินของข้าราชการ รัฐบาลนี้ไม่ได้ส่งมอบสิ่งที่เป็นปัญหาให้กับรัฐบาลใหม่ สามารถที่จะให้รัฐบาลใหม่เข้ามาและทำงานต่อเนื่องไปได้ รวมทั้งเรื่องการแก้ปัญหาหนี้สิน” นายสุพัฒนพงษ์กล่าว
- สภาพัฒน์ ชี้คนไทยกู้ “บ้าน-สินเชื่อบุคคล” พุ่ง ห่วงหนี้ครัวเรือนสูง
- กสิกรไทย ส่องหนี้ครัวเรือนไทยปี 66 โจทย์หลักดูแล “ก่อหนี้ใหม่ “
- ธอส. ลุยแก้หนี้ครู งดคิดดอกเบี้ย 10 เดือน ในมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย
- ครูเกือบ 1 ล้านคน หนี้ท่วม ดึงสหกรณ์ออมทรัพย์ครู ลดดอกเบี้ยแก้หนี้