เปิดเบื้องหลังตั้งรัฐบาลใหม่ ประเสริฐ เพื่อไทย ดึงทุกพรรคจ่ายต้นทุน

ประเสริฐ จันทรรวงทอง
คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ
ผู้เขียน : ณัฐวุฒิ กรัณยโสภณ

พรรคเพื่อไทย ปักธงจัดตั้งรัฐบาลในภาวะพิเศษ ควบรวมพรรคการเมืองทุกขั้วขัดแย้ง ไม่เกี่ยงว่าเป็นศัตรู-คู่แค้นการเมืองในกาลก่อน

ไม่เกี่ยงว่าเบื้องหลังพรรคการเมืองนั้นมี “เงา” ของบุคคลที่เชื่อมโยงกับการรัฐประหารรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อ 9 ปีก่อน

“ประชาชาติธุรกิจ” สนทนากับ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย แกนนำจัดตั้งรัฐบาล มีสถานะไม่ต่างกับ “ผู้จัดการรัฐบาล” เปิดใจทุกเหตุผล-ความจำเป็นที่ต้องจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วโหวต เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี-ม้วนเดียวจบ

ภารกิจผู้จัดการรัฐบาล

“ประเสริฐ” เล่ากรรมวิธีการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อไทยว่า ในฐานะที่เป็นเลขาธิการพรรคเกี่ยวข้องกับทั้ง 3 ช่วง ซึ่งช่วงแรกที่พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ส่วนเราไม่ได้เป็นพรรคหลัก ผมเป็นผู้ประสานงานในส่วนของพรรคเพื่อไทย

มาช่วงที่ 2 เปลี่ยนผ่านในช่วงสั้น ๆ จากพรรคก้าวไกลส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทย และช่วงที่ 3 พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล อันนี้สำคัญ เพราะต้องเริ่มตั้งแต่การประสาน 8 พรรคร่วมเดิม 312 เสียง

Advertisment

หลังจากจบหารือกับ 312 เสียง เราได้เชิญพรรคการเมืองเพื่อหาทางออกวิกฤตประเทศร่วมกัน ผมเป็นคนประสานทั้งหมดในห้วงเวลานั้น หลังจากนั้นก็มาบอกกับพรรคร่วม 8 พรรคเดิมว่าสถานการณ์เป็นอย่างนี้

โดยแจ้งว่าทุกพรรคที่เราเชิญมาติดอยู่ที่พรรคก้าวไกล ว่าจะมาร่วมรัฐบาลต้องไม่มีก้าวไกล

เบื้องหลังดีล 312+71 ล่ม

หลังจากเราเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแล้ว เราคุยกับพรรคภูมิใจไทย ร่วมกับพรรคภูมิใจไทย เราได้ 312 เสียง

แล้วเราคอยพรรคก้าวไกล ไม่ใช่เราไม่คอยนะ เรามีความหวังในระดับหนึ่งถ้าพรรคก้าวไกลมาโหวตให้ คะแนนเสียงทุกอย่างน่าจะจบได้ โดย 312+71 ของพรรคภูมิใจไทย ก็จะจบเลย 383 เสียง ก็ถือว่าปลอดภัย จึงไปพบปะกับพรรคก้าวไกล

Advertisment

แต่วันนี้พรรคก้าวไกลก็มีท่าทีออกมาชัดเจนแล้วว่าไม่โหวตให้ ดังนั้น คณิตศาสตร์การเมืองจึงต้องเปลี่ยน

เบื้องหลังเจรจาพรรค 2 ลุง

เสียงในการจัดตั้งรัฐบาลที่ทีมเจรจาของพรรคเพื่อไทยยังปิดเป็นความลับว่าจริง ๆ แล้วได้เท่าไหร่กันแน่ “ประเสริฐ” ลากเสียง เอ่อ…. ผมคิดว่าเอาตัวเลขคร่าว ๆ แล้วกันนะ สภาล่าง (สส.) ไปแตะที่ 300 กว่า ส่วนสภาบน (สว.) เท่าที่ฟังเสียง สว.กับการได้พูดคุยกับ สว.บางท่าน ก็คิดว่าเสียงสนับสนุนน่าจะมีมากพอสมควร จนถึงการจัดตั้งรัฐบาลได้

“วันนี้ตัวเลขที่จะสนับสนุนแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทยนิ่งแล้ว แต่เราอยากได้เพิ่มขึ้น เพราะจะทำงานสะดวกได้ทั้ง 2 สภา เพราะกฎหมายเมื่อเข้าสภาแล้วต้องได้รับความเห็นชอบจาก 2 สภา รวมถึงประชุมร่วมรัฐสภา ถ้าได้เสียงที่ทำให้รัฐบาลมีความมั่นคงมันก็จบหมด ไม่ใช่โหวตกี่ทีต้องคอยลุ้น”

รวมถึงพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติรวม 76 เสียง ดีลเสร็จแต่ยังไม่เปิดตัวต่อสาธารณะ “ประเสริฐ” ตอบว่า ก็ไม่เชิงนะ จะว่าไม่เปิดเผยหน้าฉาก แต่เราทำอะไรเราโปร่งใสตลอด เพียงแต่การเมืองคือการเจรจากัน ที่เราทำอยู่ เรากำหนดทางเลือกต่าง ๆ

แม้ว่าสภาพนี้พรรคเพื่อไทย 141 เสียง อาจถูกพรรคร่วมรัฐบาล “ขี่คอ-ต่อรอง” เพราะต้องพึ่งพาเสียงของพรรคการเมืองข้ามขั้ว บวกกับ สว. เพื่อรวมให้ได้เสียงเกินครึ่งของสภา ประเสริฐกล่าวว่า “ผมว่าวันนี้ทุกคนเข้าใจว่าการเมืองอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ ทำอะไรไม่ง่ายเลย ดังนั้น ทุกพรรคเหมือนต้องถอยคนละก้าวเพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปได้ ถ้าเข้าใจตรงนี้การทำงานก็จะง่ายขึ้น”

ทำไมพรรคเพื่อไทยต้องเดิมพันสูงดึงพรรค 2 ลุง ประเสริฐตอบว่าวันนี้ไม่ได้มีแต่พรรคเพื่อไทยที่ต้องจ่ายต้นทุน แต่มีทุกพรรคที่ต้องจ่าย เพราะการเมืองวันนี้ทางเลือกมีไม่เยอะ เมื่อทางเลือกมีไม่เยอะ ต้องเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดบนผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นหลัก

“ดังนั้น เมื่อตัดสินใจอะไรบางอย่างก็ถูกใจคนบางกลุ่มบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง เป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยต้องทำความเข้าใจในอนาคต”

ไม่ใช่เพื่อไทยประเทศสุญญากาศ

ประเสริฐเล่าต่อว่า หลังสุดมาแถลงจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคภูมิใจไทย และ 7 พรรคที่สภา เมื่อตกลงกันปุ๊บ เราก็แถลงการณ์ ตอนนั้นด้วยความสัตย์จริงไม่มีการคุยเรื่องกระทรวง เพราะตอนนั้นทุกคนเข้าใจว่าสถานการณ์เป็นอย่างนั้น ไม่ว่าใครก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้

“วันนี้ด้วยเงื่อนไข สถานการณ์รอบด้าน ถ้าหลุดจากพรรคเพื่อไทย ไปเป็นพรรคอื่นไปตั้งรัฐบาล ประเทศแทบจะมืดมน สุญญากาศทันที ไม่มีใครตั้งรัฐบาล”

“สมมติว่าเป็นพรรคลำดับที่ 3 ผมก็ดูว่ายากมาก ตั้งยังไงก็ร้อยกว่าเสียง ดังนั้น ถ้าจะไปข้างหน้าต้องจบที่ตรงนี้ ต้องจบที่พรรคเพื่อไทย แต่ถามว่าพรรคเพื่อไทยต้องเสียต้นทุนไหม..คนบางทีถ้าดูการเมืองทุกมิติจะเข้าใจ ใช้เหตุผล ค่อย ๆ คิด ผมว่าเข้าใจ”

บางคนบอกว่าทำไมไม่คอยให้ สว.หมดอำนาจอีก 10 เดือน บางคนยกตัวอย่างประเทศในยุโรป แต่จริง ๆ แล้วไม่เหมือนกัน เพราะยุโรปรัฐบาลที่จะส่งไม้ต่อเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย สถานะการเงินแข็งแกร่ง จะเปลี่ยนผ่านอย่างไรก็ไม่ใช่อุปสรรค

“แต่สำหรับประเทศไทย รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ คนไม่คาดหวังแล้ว ถ้าปล่อยไป 10 เดือน ยิ่งไปใหญ่เลย ประคองไว้แล้วทำอะไรไม่ได้ หมายถึงประเทศจะเป็นอย่างไรไม่รู้”

เดิมพันด้วยผลงาน

เมื่อพรรคเพื่อไทยเลือกทางเดินสลายขั้วการเมือง เท่ากับเดิมพันอนาคตทางการเมืองใน 4 ปีที่ได้เป็นรัฐบาล ประเสริฐกล่าวว่า เราคิดว่าผลงานกับนโยบายจะเป็นสิ่งพิสูจน์ว่าพรรคมีความจริงใจ และพรรคเพื่อไทยที่ได้ตัดสินใจเพราะเหตุใด

เรามองเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ เพราะวันนี้แทบจะไปไม่ไหวแล้ว วิกฤตการเมือง เรื่องรัฐธรรมนูญ วิกฤตความขัดแย้งในสังคม ผมคิดว่าถึงเวลาที่ประเทศจะต้องช่วยกันคิดแล้วว่าเราจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้หรือ

ผลงานใน 4 ปีข้างหน้าจะล้างทั้งหมดได้ไหม ประเสริฐตอบว่า เราคิดว่าสิ่งที่ประชาชนต้องการคือได้รัฐบาลที่มีความรู้ความสามารถมาบริหารประเทศ เราก็ขอเวลา

รัฐบาลเพื่อไทยไม่เหมือนเดิม

ประเสริฐให้ความมั่นใจว่า รัฐบาลเพื่อไทยจะไม่เหมือน 8-9 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าองค์ประกอบรัฐบาลจะคล้ายกับขั้วรัฐบาลเดิม

“ไม่เหมือน ยืนยันว่าไม่เหมือน เพราะวันนี้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่เมื่อ 8-9 ปีก่อน เรามีรัฐบาลมาจากระบบที่มาจากการยึดอำนาจ ส่วนยุค 4 ปีหลังได้รัฐบาลประยุทธ์ที่มาจากแต้มต่อของรัฐธรรมนูญ แต่วันนี้เราได้รัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ”

“และคิดว่าพรรคเพื่อไทยจะตอบโจทย์ของประเทศหลายอย่าง เราไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคเหล่านั้น แต่เราเป็นพรรคหลัก เป็นแกนนำ และเป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้น ย่อมแตกต่างกันแน่นอน นโยบายหลัก ๆ ที่พรรคเพื่อไทยประกาศไว้จะนำมาตอบสนองความต้องการของประชาชน”

“แต่เราไม่ละเลยนโยบายของพรรคอื่น ที่เราเห็นว่าเป็นประโยชน์และไม่ขัดหลักการกับพรรคเรา เราก็จะ
เอามาช่วยเสริมได้”

เศรษฐาไม่ซ้ำรอยพิธา

สุดท้าย “ประเสริฐ” มั่นใจว่า การโหวตนายกฯ เศรษฐา “ม้วนเดียวน่าจะผ่าน” ไม่ซ้ำรอย “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ม้วนเดียวตก

“เรารวบรวมเสียงได้ผ่าน เอางี้ ในสภาล่างเรารวบรวมเสียงได้เกินครึ่ง สภาบนก็เกินครึ่งหนึ่ง สภาล่างเป็นการคุยในระดับพรรคการเมือง ถ้าพรรคการเมืองที่เราไปเจรจารับปากว่าจะให้เสียงสนับสนุน เรียกว่าไม่ค่อยมีอุปสรรค เสียงจะมาหมด ไม่เหมือนกับ สว.จะเป็นบุคคล ไม่เหมือนพรรคการเมือง ต้องคุยรายตัว ดังนั้น สิ่งที่เราจะคุยผ่านได้คือคุยรายตัว”

“ซึ่งดูแล้วคุณพิธาเคยได้ 323 เสียง ไม่เหมือนคุณเศรษฐา เชื่อว่าจะได้เสียง สว.มากกว่าแน่นอน”

ถามว่าชื่อของ “เศรษฐา” จะปิดตายชื่ออื่นแล้วหรือยัง เช่น แพทองธาร ชินวัตร, ชัยเกษม นิติสิริ ประเสริฐกล่าวว่า พรรคจะเสนอใครก็ได้ใน 3 ชื่อ พรรคได้เลือกแล้วคือคุณเศรษฐา ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไร ผมว่าคุณเศรษฐาบริหารประเทศ เป็นนายกฯ ครบ 4 ปีได้นะ ไม่ได้มีปัญหาหรืออุปสรรคแต่อย่างใด ก็ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องไปคิดเรื่องนี้อีก ผมว่านะ