
ในวาระครบรอบ 50 ปี 14 ตุลาฯ สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ร่วมกับศูนย์ข้อมูลมติชน จัดเสวนาพิเศษ “50 ปี 14 ตุลา เจ้าฝันถึงโลกสีใด” ฟัง “สุรชาติ บำรุงสุข” เล่าย้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในฐานะผู้ร่วมเหตุการณ์
วันที่ 14 ตุลาคม 2566 สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) ร่วมกับศูนย์ข้อมูลมติชน จัดเสวนาพิเศษเนื่องในวาระครบรอบ 50 ปี 14 ตุลาฯ “50 ปี 14 ตุลา เจ้าฝันถึงโลกสีใด” ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 28 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชั้น LG ฮอลล์ 5-7
โดยมี “ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข” และ “รศ.ดร.บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ” ร่วมเสวนา ดำเนินรายการโดย “ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์”
สังคมไทยก่อน 14 ตุลาฯ
อ.สุรชาติ กล่าวว่า ย้อนกลับไป สิ่งที่น่าสนใจคือ 14 ตุลา เป็นผลผลิตของช่วงเวลายุคหลัง “สฤษดิ์ ธนะรัชต์” เกิดชนชั้นกลางที่ไม่ใช่ข้าราชการ เกิดกระเเสเสรีนิยม และคนเริ่มต่อต้านเผด็จการทหารของ “จอมพล ถนอม กิตติขจร”, “จอมพล ประภาส จารุเสถียร” และ “พันเอก ณรงค์ กิตติขจร”
ความไม่พอใจถูกพิสูจน์ด้วยปัญหาใหญ่ คือ กรณีทุ่งใหญ่นเรศวร ประกอบกับสัญญาณอีกส่วนคือวิกฤตเศรษฐกิจที่เริ่มก่อตัวขึ้นในปี 2516
ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้นปีที่ 1 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต้องไปเป็นอาสาสมัครช่วยรัฐบาลคุมการขายน้ำตาล เป็นคนจัดคิว น้ำตาลคือตัวอย่าง หรือป้ายตรงหัวมุมสนามหลวง หน้าปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งที่เขียนว่า “น้ำมันหมด” แปลว่าประสิทธิภาพของรัฐบาลไม่ไหวแล้ว รัฐบาลหมดความชอบธรรมและเกิดวิกฤตศรัทธา
ที่สำคัญยังมีวิกฤตในกองทัพ มีทหารหลายฝ่ายมาก ทั้งหมดจึงเกิดเป็นพายุการเมืองลูกใหญ่ที่ถูกพัดเข้ามา อ.สุรชาติกล่าว
พอถึงเดือนมิถุนายน 2516 ที่จุฬาเปิดเทอม ผมเป็นนิสิตปี 1 ไปช่วยแจกแถลงการณ์หน้าประตูใหญ่ กรณีทุ่งใหญ่นเรศวร และการลบชื่อนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง 9 คน
การชุมนุมในวันเปิดเทอมไม่ได้จบที่เรื่องนักศึกษารามคำแหง ก่อนการชุมนุมจะเลิกมีประกาศต่อรัฐบาลว่าอีก 6 เดือนข้างหน้าขอให้รัฐบาลคืนรัฐธรรมนูญให้ประชาชน แล้วอีก 6 เดือนเราค่อยมาชุมนุมกันใหม่
เราเริ่มเห็นการชุมนุมช่วงเดือนมิถุนายน จากจุฬาฯ ไปกว่าจะถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ความประทับใจคือพี่น้องประชาชนตามบ้านต่าง ๆ เอาของมาให้กิน เอาน้ำมาให้ดื่มตลอดเส้นทาง อ.สุรชาติกล่าว
14 ตุลา การปะทะที่สวนจิตรลดา
อ.สุรชาติ กล่าวว่า การชุมนุมในประเทศไทยนับจาก 14 ตุลาฯ จะไม่มีทางใหญ่เท่าครั้งนั้นอีก ตัวเลขสื่อในยุคนั้นระบุว่ามีผู้ชุมนุมในถนนราชดำเนินในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 กว่า 5 แสนคน
กลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญประกาศตัวครั้งแรกวันที่ 5 ตุลาคม 2516 เริ่มเเจกแถลงการณ์และถูกจับวันถัดมา วันที่ 8 ตุลาคม เกิดการชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ เกิดการปิดห้องสอบเพื่อเรียกร้อง และวันที่ 12-13 ตุลาคม ถนนทุกสายก็มุ่งสู่ธรรมศาสตร์ด้วยผู้ชุมนุมกว่า 2 แสนคน
วันที่ 14 ตุลาคม ผู้ชุมนุมอยู่บริเวณสวนจิตรลดา ซึ่งเราตกลงกันว่าจะสลายในช่วงเช้า แต่ก็เกิดเหตุการณ์ผู้ชุมนุมถูกตำรวจทำร้าย ช่วงเวลา 06.00 น.โดยประมาณ นี่คือจุดเริ่มต้น 14 ตุลาฯ ผู้ชุมนุมจากฝั่งธรรมศาสตร์เมื่อรู้ข่าวจึงเริ่มขยายทันที และกองกำลังทหารจากก็เริ่มเข้าตรึงพื้นที่ จนเริ่มเกิดการปะทะใหญ่ก่อนเที่ยงวัน
แต่กองทัพบกโดย “พลเอก กฤษณ์ สีวะรา” ผู้บัญชาการทหารบก ประกาศผ่านโทรทัศน์ ไม่เคลื่อนกำลังสนับสนุนทหารในพื้นที่ เราพอรู้ได้เลยว่ากองทัพบกลอยแพรัฐบาลแล้ว และตกเย็นจอมพลถนอมก็ประกาศลาออก
อ.สุรชาติ กล่าวว่า ถ้าถามว่าการปะทะที่สวนจิตรลดาเป็นอุบัติเหตุหรือความตั้งใจ พูดแบบคนทำวิจัยคือเราไม่เคยได้ยินคำพูดของตำรวจที่ดูแลพื้นที่ในวันนั้นเลย ในเชิงข้อมูลเราไม่รู้เลยว่าเกิดการตัดสินใจอะไรหรือเป็นความผิดพลาดเรื่องการสื่อสารระหว่างตำรวจเอง
“เพราะตำรวจเองอาจคำนึงว่าตรงนั้นเป็นพื้นที่ละเอียดอ่อน ตำรวจอาจตีความว่านักศึกษาที่กำลังกลับบ้านจะเคลื่อนเข้าไปในสวนจิตรลดาหรือไม่” อ.สุรชาติกล่าว
วันที่เราชนะที่กรุงเทพฯ ประเทศกรีซตะโกนชื่อประเทศไทย ว่าเขาต้องชนะเหมือนกันในเหตุการณ์ที่ประเทศเขา เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ในยุคนั้น ว่าการต่อสู้ในกรุงเทพฯ ขยายไปถึงการต่อต้านทหารในกรีซ
ความแตกแยกในหมู่ทหาร
เราพอรับรู้ได้ว่ามีความแตกแยกในกองทัพอยู่ เราเห็นร่องรอยอยู่พอสมควร รอยปริของระบอบถนอมเกิดตั้งแต่ปลายปี 2514 แล้ว
การที่เขาต่ออายุราชการตัวเองแต่ไม่ต่อให้ใครเลย จนเกิดเป็นรอยร้าว มาถึงช่วงเดือนมิถุนายน 2516 ที่เกิดทุ่งใหญ่นเรศวร ก็ยกระดับ ประภาส จารุเสถียร เป็นจอมพล เท่ากับทหารสายอื่นไม่ได้อยู่ในเส้นทางอำนาจอีกต่อไป
เพื่อนของผม “สุธรรม แสงประทุม” ถูกจับไว้ในรถถังวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ก่อนที่ทหารจะนำตัวไปส่งที่สน.ชนะสงคราม ทหารบอกคุณสุธรรมว่า ถ้าวันนี้จบอีกแบบและทหารไม่ได้แตกแยกกัน จะเกิดอะไรขึ้นกับสุธรรม เพราะฉนั้นเราเห็นการแตกแยกนี้ชัดเจน อ.สุรชาติ กล่าว
อย่างกรณีเผาตึกอาคารคณะกรรมการตรวจและติดตามผลการปฏิบัติราชการ (กตป.) ก็เป็นความสงสัยเหมือนกันว่าเผาเพราะอะไร เนื่องจากตึกนั้นมีเอกสารที่เกี่ยวกับการไต่สวนคดีคอรัปชั่นอยู่
“14 ตุลา จึงมี 2 โจทย์คือความขัดแย้งในกองทัพและกระเเสสังคมที่ไม่ตอบรับกับระบอบทหาร จะบอกว่านักศึกษาไม่ชนะก็ไม่ใช่ การเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยในหลายประเทศมีอะไรที่ซ่อนอยู่ใต้พรมทั้งนั้น” อ.สุรชาติ กล่าว
ไม่อยากให้งานรำลึกเหมือนเช็งเม้ง
อ.สุรชาติ กล่าวในช่วงท้ายว่า อยากให้มีตัวกลางในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ อีกครั้ง และที่พูดกันว่า 14 ตุลาฯ จะเป็นส่วนหนึ่งในตำราเรียนของเด็ก ๆ ไทย “เลิกคิดเถอะครับ ไม่เกิด”
ปีนี้ครบรอบ 50 ปี สิ่งที่อยากฝากคือ มันไม่ใช่เพียงแต่การจัดงานรำลึกไปเรื่อย ๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่ต่างจากงานเช็งเม้ง กินข้าวกัน ไหว้กัน แล้วก็แยกย้าย ปัจจุบันมีประเพณีเอาพวงหรีดไปตั้ง แล้วก็ไม่เห็นสาระอย่างอื่น
เราอยากเห็นการจัดงานมันมีสาระมากขึ้น อยากให้งานเหล่านี้เป็นสาระของการขับเคลื่อนในการสร้างประชาธิปไตยของสังคมไทย
เราเห็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยหลายระลอกในสังคมไทย ตั้งแต่ 2475, 14 ตุลาคม 2516, 6 ตุลาคม 2519 และพฤษภาทมิฬ 2535 และต้องไม่ลืมอีกส่วนคือพฤษภาคม 2553 บริบทเหล่านี้ตอกย้ำว่าสังคมไทยยังฝันถึงประชาธิปไตย
ถามว่านกสีอะไร คนรุ่นผมบอกสีแดง คือ “พิราบแดง” วันนี้เราอยากเห็นนกที่สีสวยที่สุดสำหรับทุกชนชั้น แน่นอนสีที่สวยสำหรับทุกคนอาจไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเราตกลงกันว่าจะเห็นอนาคตร่วมกัน นกหลายสีมีสิทธิ์ที่จะบินในสังคมไทยได้อย่างหลากหลาย
ไม่จำเป็นต้องเหมือนคนยุคผมที่เปนพิราบแดง ที่เพื่อนหลายคนไม่ได้กลับ เราเห็บทเรียนการเสียชีวิต มันตอกย้ำการเรียกร้องประชาธิปตไย เรากล้าละเลงเลือดเพื่อประชาธิปไตย แต่วันนี้อยากมเห็นว่าประชาธิปไตยสร้างบนเงื่อนไขที่ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องสร้างด้วยรถถัง ขณะเดียวกันก็ไม่จำเป็นต้องสร้างด้วยสงครามปฏิวัติแบบคนรุ่นผม อ.สุรชาติกล่าว