อสังหา 6 แบรนด์ปลุกเชื่อมั่น ลงทุนรอบใหม่ 1.26 แสนล้าน

อสังหา

จับสัญญาณต้นปี 2566 อสังหาฯ 6 แบรนด์ลงทุนรอบใหม่ทะลุ 1.26 แสนล้านบาท “ศุภาลัย-แลนด์-โนเบิล-เฟรเซอร์สโฮม-ลลิล-MBK” กางแผนพัฒนาโครงการคลุมพื้นที่กรุงเทพ-ปริมณฑล ต่างจังหวัดหัวเมืองหลัก-เมืองท่องเที่ยวรับนโยบายเปิดประเทศ เทรนด์บ้านหรู 10-30 ล้านมาแรง ลูกค้ากระเป๋าหนักนิยมซื้อเงินสดเกินครึ่ง

ปี 2566 สัญญาณบวกในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจจากสงครามข้ามปีและสถานการณ์โควิดทำให้เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวกลับมาลงทุนรอบใหม่อย่างคึกคัก จากการสำรวจบริษัทอสังหาริมทรัพย์เพียง 6 รายที่ประกาศแผนลงทุนรอบใหม่ระหว่างวันที่ 12-24 มกราคม 2566 พบว่ามีมูลค่าลงทุนรวมกันทะลุ 1 แสนล้านบาท ปลุกความเชื่อมั่นทั้งในด้านผู้ประกอบการและผู้บริโภค

รายละเอียด 6 บริษัท ประกอบด้วย กลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ลงทุนใหม่ 34,960 ล้านบาท, ศุภาลัยวางแผนพัฒนาโครงการบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียม 41,000 ล้านบาท, โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ ลงทุนใหม่ 23,300 ล้านบาท, เฟรเซอร์สฯ โฮม จำนวน 17,500 ล้านบาท, ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศลงทุนใหม่ในกรอบ 8,000 ล้านบาท และเอ็มบีเคกรุ๊ปที่มีกระแสเงินสด 4,000 ล้านบาท แบ่งมาลงทุนในปีนี้ 2,000 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 126,760 ล้านบาท

ศุภาลัยขอทำนิวไฮรอบ 34 ปี

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทเพิ่มเป้ายอดขาย เนื่องจากประสบความสำเร็จจากโครงการบ้านแนวราบ จากเป้าเดิม 28,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 32,433 ล้านบาท เติบโต 35% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มียอดขาย 24,069 ล้านบาท

แผนลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2566 ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 11% จำนวน 36,000 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ 36,000 ล้านบาท หากทำได้จะเป็นสถิตินิวไฮนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในรอบ 34 ปี โดยตั้งเป้ายอดขายเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 58% แบ่งเป็นยอดขายบ้านแนวราบ 31% คอนโดฯ 27% กับยอดขายตลาดต่างจังหวัดอีก 42% แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 39% กับคอนโดฯ 3%

บริษัทวางแผนเปิดตัวใหม่ 37 โครงการ มูลค่ารวม 41,000 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 34 โครงการ มูลค่ารวม 32,700 ล้านบาท คอนโดฯ 3 โครงการ มูลค่ารวม 8,300 ล้านบาท รวมทั้งตั้งงบฯจัดซื้อที่ดิน 8,000 ล้านบาท ด้านการเงินองค์กร อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนหรือ D/E ratio อยู่ที่ 0.54% มีต้นทุนการเงิน 1.78% แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งด้านการเงินที่เป็นความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาด

แลนด์ระมัดระวัง 3.4 หมื่นล้าน

นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2566 บริษัทมีโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการทั้งสิ้น 70 โครงการ แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 62 โครงการ มูลค่ารวม 47,983 ล้านบาท คอนโดฯ 8 โครงการ มูลค่า 8,375 ล้านบาท โดยวางแผนพัฒนาโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่ารวม 34,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับการเปิดโครงการใหม่ในปี 2565

ทั้งนี้ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ยังคงเป็นสินค้าที่สร้างยอดขายหลักให้บริษัทในสัดส่วน 92% อีก 8% มาจากยอดขายคอนโดฯ ในด้านพื้นที่ ตลาด กทม.-ปริมณฑลทำรายได้หลัก 90% ต่างจังหวัดอีก 10% โดยเซ็กเมนต์บ้านราคาสูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วน 54% ของยอดขายรวม และเฉลี่ยราคาต่อหน่วยอยู่ที่ 8.8 ล้านบาท

“ปีนี้แลนด์ฯกลับมาลงทุนสูงกว่าปี 2562 ซึ่งเป็นยุคก่อนโควิด เพราะถึงแม้ภาพรวมตลาดโลกมีความไม่แน่นอนสูง แต่เซนติเมนต์ของประเทศไทยยังมีสัญญาณบวกให้เห็น โดยเฉพาะภาคธุรกิจท่องเที่้ยวที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยปีนี้ 20-22 ล้านคน ฟื้นกำลังซื้อภาคบริการในประเทศโดยตรง โดยแนวคิดการลงทุนของบริษัทเลือกลงทุนอย่างระมัดระวัง ไม่ลงทุนเกินตัว และโฟกัสลูกค้าในประเทศหรือลูกค้าคนไทยที่เป็นกลุ่มผู้ซื้อเรียลดีมานด์ ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงเป็นหลัก” นายนพรกล่าว

โนเบิล-เฟรเซอร์สโฮมบุกหนัก

นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาบริษัทเปิดขายโครงการใหม่ 11 โครงการ มูลค่ารวม 31,550 ล้านบาท มียอดขาย 17,400 ล้านบาท และยอดขายรอโอน (backlog) 19,000 ล้านบาท ถือเป็นยอดขายและแบ็กล็อกนิวไฮนับแต่ก่อตั้งโนเบิลฯ (all-time high)

ปี 2566 มีแผนเปิดตัวใหม่ 10 โครงการ มูลค่ารวม 23,300 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านแนวราบกับคอนโดฯโลว์ไรส์ 9 โครงการ มูลค่า 13,400 ล้านบาท และคอนโดฯไฮไรส์ 1 โครงการ มูลค่า 9,900 ล้านบาท นอกจากนี้มีแผนเปิดตลาดลูกค้าอัลตราลักเซอรี่จำนวน 3 โครงการ ตั้งเป้ารายได้ 15,000 ล้านบาท โดยมีสินค้าพร้อมอยู่ 11,300 ล้านบาท กับสินค้าอยู่ระหว่างก่อสร้าง 18,700 ล้านบาท

นายแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้แรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การลงทุนเพิ่มขึ้นของภาคเอกชน การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น

ปี 2566 บริษัทตั้งเป้ายอดขายรอรับรู้รายได้ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปี 2565 วางแผนเปิดตัวใหม่ 11 โครงการ มูลค่ารวม 17,500 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 7 โครงการ ทาวน์โฮม 2 โครงการ บ้านแฝด 1 โครงการ คอนโดฯ 1 โครงการ โดยเพิ่มน้ำหนักตลาดบ้านลักเซอรี่มากขึ้น เพราะมีสถิติปี 2565 พบว่าเซ็กเมนต์ราคาเกิน 20 ล้านบาท ลูกค้าซื้อเงินสดสูงถึง 67%

ลลิลฯ-MBK ถมลงทุนหมื่นล้าน

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2566 แม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังไม่เอื้ออำนวยมากนัก แต่ลลิลฯมีความเชื่อมั่นในแผนดำเนินธุรกิจ จึงมั่นใจว่าจะสามารถขยายตัวได้ และพร้อมเดินหน้าสู่การเป็น national property company โดยวางแผนเปิดโครงการใหม่ 10-12 โครงการ มูลค่า 7,000-8,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 8,600 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ 6,850 ล้านบาท เติบโต 10% สูงกว่าภาพรวมตลาดที่คาดว่าจะขยายตัว 3-5%

ตั้งวงเงินซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ 1,500-1,600 ล้านบาท

นายวิจักษณ์ ประดิษฐวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการคนใหม่ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังยุคโควิดบริษัทมีการปรับโครงสร้างธุรกิจเป็น 8 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วยกลุ่มธุรกิจศูนย์การค้า โรงแรม สนามกอล์ฟ อาหาร ธุรกิจการประมูลรถ อสังหาริมทรัพย์ การเงิน และศูนย์สนับสนุนองค์กร

สำหรับปี 2566 บริษัทมีกระแสเงินสด 4,000 ล้านบาท นำมาใช้ลงทุนใหม่และรีโนเวตเพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจจากภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มสดใสมากในปีนี้ จำนวน 2,000 ล้านบาท อาทิ รีโนเวตโรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส เฟส 3 วงเงินรวม 400 ล้านบาท, รีโนเวตศูนย์การค้าพาราไดซ์ เซ็นเตอร์ หลังได้ต่อสัญญาเช่าที่ดินอีก 20 ปี วงเงิน 1,000 ล้านบาท, งบฯซื้อที่ดินเพิ่มเติมสำหรับพัฒนาอสังหาฯ 500 ล้านบาท เป็นต้น

“ธุรกิจหลักของ MBK คือ tourist business ปีนี้มีสัญญาณบวกมาเต็ม ทั้งการเปิดประเทศที่ปลุกธุรกิจท่องเที่ยวให้มีความคึกคัก ขอให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเมืองไทยเถอะ บริษัทได้รับอานิสงส์แน่นอน” นายวิจักษณ์กล่าว