บล็อกหลัง ต่างจาก ยาสลบ อย่างไร ?

สุขภาพดี
คอลัมน์ : สุขภาพดีกับรามาฯ
ผู้เขียน : อ.พญ.ลลิสา แซ่เอี้ยะ ภาควิชาวิสัญญีวิทยา 
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

การใช้ยาสลบ ทำได้ทั้งการกิน ฉีด หรือดมแก๊ส เพื่อให้ยาออกฤทธิ์กับสมองให้หลับ กดการรับรู้ของคนไข้ ใช้ในกรณีผ่าตัดใหญ่ การผ่าตัดที่ส่งผลต่อการหายใจ ผ่าสมอง ผ่าช่องท้อง ผ่าตัดกระดูกที่เจ็บปวดมาก หรือคนไข้ที่วิตกกังวลเยอะ การดมยาสลบเป็นทางเลือกหนึ่ง เพื่อให้แพทย์ทำงานได้สะดวก ปลอดภัย

ระหว่างการผ่าตัดขณะที่ผู้ป่วยหลับ ต้องใส่อุปกรณ์ช่วยหายใจ เนื่องจากยาจะกดการหายใจ วิสัญญีแพทย์จะคอยวัดชีพจร ออกซิเจน และความดันโลหิตอยู่เสมอ เพื่อให้ปลอดภัยขณะผ่าตัด

ผลข้างเคียงการดมยานั้น อาจจะคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ เจ็บคอ ระคายคอ เนื่องจากมีการใส่อุปกรณ์ช่วยหายใจ เจ็บปวดบริเวณที่ผ่าตัด ง่วงนอน อ่อนเพลีย ไม่มีแรง สับสน มึนงง สูญเสียความทรงจำชั่วคราว

ส่วนการบล็อกหลังนั้น เป็นการใช้ยาชาฉีดไปที่ช่องไขสันหลัง ให้ยาชาไปออกฤทธิ์ที่ไขสันหลังและเส้นประสาท ทำให้รู้สึกชาตั้งแต่ใต้สะดือลงไปถึงขาทั้ง 2 ข้าง โดยครอบคลุมการผ่าตัดตั้งแต่ใต้สะดือลงไปถึงเท้า รวมทั้งการคลอดลูก ผ่าตัดไส้ติ่ง

ผลข้างเคียงมักเกิดในคนที่มีโรคร่วม เช่น กินยาต้านเกล็ดเลือด ต้านการแข็งตัวของเลือด หรือมีความผิดปกติของไขสันหลังหรือกระดูกสันหลังร่วม ส่วนผลข้างเคียงอื่น ๆ เช่น ปัสสาวะออกยาก ความดันเลือดต่ำ คลื่นไส้อาเจียน มีเลือดออกรอบกระดูกสันหลัง ปวดบริเวณที่ถูกฉีดยา ติดเชื้อที่กระดูกสันหลัง ปวดศีรษะ คันตามใบหน้า เป็นต้น

ข้อดีข้อเสียของทั้ง 2 แบบจะต่างกันไป กรณีที่ผู้ป่วยกังวลสูง ไม่ต้องการได้ยินเสียงหรือรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในห้องผ่าตัด การใช้วิธีดมยาสลบจะทำให้แพทย์ทำงานง่ายกว่า แต่หากอยู่ในจุดที่บล็อกหลังได้ ผู้ป่วยไม่กังวลมาก วิสัญญีแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยบล็อกหลังมากกว่า

เพราะผู้ป่วยจะฟื้นตัวไว และลดอาการปวดได้มากกว่า เนื่องจากยาชายังออกฤทธิ์ไปอีกระยะหนึ่งหลังผ่าตัด นอกจากนั้นยังลดการเสียเลือดระหว่างผ่าตัด ลดอาการลิ่มเลือดอุดตันของเส้นเลือดขาได้ดีกว่าดมยาอีกด้วย

การตัดสินจะใช้วิธีผ่าตัดแบบไหน ต้องพูดคุยกันระหว่างแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด และวิสัญญีแพทย์เพื่อเตรียมการ นอกจากชนิดของการผ่าตัดแล้วจะต้องพิจารณาเรื่องโรคประจำตัว ประวัติการรักษา ยาที่ใช้ประจำ รวมถึงความกังวลของผู้ป่วยเอง ก่อนนำเสนอและชี้แจงให้ผู้ป่วยรู้ถึงข้อดีข้อเสีย เพื่อทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด