“หนุ่มสาวทัวร์” มอง แม้นักท่องเที่ยว FIT โต แต่บริษัททัวร์ไม่มีวันตาย

ภาพถ่ายมัคคุเทศก์กำลังบรรยายข้อมูลแก่นักท่องเที่ยว ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)
ภาพถ่ายมัคคุเทศก์กำลังบรรยายข้อมูลแก่นักท่องเที่ยว ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) โดย Lillian SUWANRUMPHA / AFP
คอลัมน์ : สัมภาษณ์

ท่ามกลางการพลิกฟื้นของตลาดอินบาวนด์ หรือตลาดนักท่องเที่ยวเที่ยวไทยนั้น ตลาดเอาต์บาวนด์ หรือคนไทยเที่ยวต่างประเทศก็ฟื้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน โดยปลายทางยอดนิยมของกลุ่มคนไทยยังเป็น “ญี่ปุ่น” จากปัจจัยค่าเงินเยนที่อ่อนค่า

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์ “โชติช่วง ศูรางกูร” อุปนายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA) และรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท หนุ่มสาวทัวร์ จำกัด ถึงเทรนด์การท่องเที่ยวต่างประเทศของคนไทยในปีนี้ รวมถึงแนวทางการปรับตัวของธุรกิจทัวร์ในวันที่นักท่องเที่ยวเลือกเดินทางด้วยตัวเองมากขึ้น ไว้ดังนี้

“ไฟลต์บิน-ค่าเงิน” ปัจจัยบวก

“โชติช่วง” บอกว่า ปีนี้อาจไม่ได้มีปัจจัยบวกขนาดใหญ่ที่ช่วยส่งเสริมตลาดเอาต์บาวนด์ (ตลาดคนไทยเที่ยวต่างประเทศ) มากนัก แต่เบื้องต้นการเพิ่มขึ้นของจำนวนเที่ยวบินทำให้ราคาตั๋วโดยสารถูกลง ประกอบกับค่าเงินบาทแข็งค่าก็อาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวไทยออกเดินทางต่างประเทศมากขึ้น

อีกปัจจัยหนึ่งที่อาจกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยไปต่างประเทศในปีนี้คือ ความพยายามเพิ่มอำนาจของพาสปอร์ตไทย เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมจองการเดินทางใกล้วันเดินทาง (Last Minute Booking) จึงเชื่อว่าหากรัฐบาลไทยได้เจรจาและมีความตกลงที่สมประโยชน์ระหว่างกันกับนานาประเทศก็จะสามารถเปิดยกเว้นการตรวจลงตรา (วีซ่าฟรี) ระหว่างกันได้มากขึ้น

“ยิ่งพาสปอร์ตไทยมีความแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็จะช่วยปลุกกระแสการท่องเที่ยวเอาต์บาวนด์ได้เพิ่มมากขึ้น”

โชติช่วง ศูรางกูร
โชติช่วง ศูรางกูร

หวั่นเอกชนลดงบฯเที่ยว

“โชติช่วง” บอกด้วยว่า ส่วนตัวประเมินว่าในปี 2567 นี้ในกรณีที่ดีที่สุดจะมีนักท่องเที่ยวไทยออกเที่ยวต่างประเทศประมาณ 7.5-7.8 ล้านคน จำนวนไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนักเมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ผ่านมา เนื่องจากนักท่องเที่ยวและภาคเอกชนมีความกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ

ในมุมขององค์กรการจัดทริปการท่องเที่ยวอาจแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การจัดทริปให้กับพนักงานภายในและจัดทริปให้กับบุคคลภายนอก ซึ่งมองว่าการจัดทริปให้พนักงานภายในอาจลดลง แต่การจัดทริปให้กับบุคคลภายนอกยังมีอยู่

“ผมเชื่อว่าปีนี้จำนวนคนไทยที่ออกเดินทางต่างประเทศจะยังน้อยกว่าปี 2562 ก่อนการระบาดของโควิด-19 ที่มีจำนวน 10.44 ล้านคน เพราะติดปัญหาจำนวนที่นั่งที่สายการบินให้บริการที่ยังมีจำนวนต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด”

โฟกัสลูกค้าองค์กร

เมื่อถามถึงบริษัทหนุ่มสาวทัวร์ “โชติช่วง” บอกว่า ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา บริษัทหนุ่มสาวทัวร์ไม่ได้หยุดให้บริการจึงสามารถขยายฐานลูกค้าได้ ประกอบกับในช่วงโควิดบริษัทยังมีพนักงานอยู่จำนวนมาก ทำให้เมื่อผ่านยุคโควิดไปแล้วสามารถฟื้นตัวได้เร็วที่สุดแห่งหนึ่ง

ปัจจุบัน “หนุ่มสาวทัวร์” มีรายได้จาก 3 ตลาดหลัก คือ นักท่องเที่ยวในประเทศไทย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% นักท่องเที่ยวไทยไปต่างประเทศ (Outbound) ประมาณ 40% และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าประเทศไทย (Inbound) ประมาณ 10% และหากพิจารณาข้อมูลของลูกค้าพบว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มองค์กรสูงถึง 90%

จับตลาดหลัก-รุกอินเซนทีฟ

“โชติช่วง” มองว่าในปี 2567 นี้ ตลาดการท่องเที่ยวญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม น่าจะยังเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อไป ขณะที่กลุ่มสแกนดิเนเวียก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากราคาบัตรโดยสารเครื่องบินมีราคาไม่สูงมากนัก

ผู้คนเดินข้ามทางม้าลายที่ตัดขวางถนนที่มุ่งหน้าสู่ปราสาทฮิเมจิ ภาพทิวทัศน์ด้านหลังปรากฏปราสาทฮิเมจิ มรดกโลกโดยองค์การ UNESCO ตั้งตระหง่านอยู่
ปราสาทฮิเมจิ ได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก ในปี 1993 ภาพถ่ายโดย CHARLY TRIBALLEAU / AFP

“หนุ่มสาวทัวร์เรามีแผนทำตลาดกลุ่มปลายทางในฝัน เช่น โมร็อกโก ซาอุดีอาระเบีย และจอร์เจีย ซึ่งหากเที่ยวบินบินตรงกลับมาให้บริการ อาจทำให้มีโปรแกรมการเดินทางมากขึ้น เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมเดินทางด้วยเที่ยวบินที่บินตรง”

ขณะเดียวกันในปีนี้บริษัทหนุ่มสาวทัวร์จะมุ่งเน้นเจาะตลาดกลุ่มอินเซนทีฟมากยิ่งขึ้น โดยนำเสนอเป็นโซลูชั่นทางธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตให้มีความต่อเนื่องต่อไป

จำนวนลูกค้าลด (แต่) กำไรเพิ่ม

“โชติช่วง” ให้ข้อมูลด้วยว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา “หนุ่มสาวทัวร์” ให้บริการลูกค้าประมาณ 22,000-24,000 คน จากช่วงก่อนโควิด-19 มีจำนวนประมาณ 30,000 คน โดยลูกค้าที่ลดลงส่วนใหญ่เป็นลูกค้าไทยเที่ยวต่างประเทศแบบ FIT เช่น ทัวร์พม่า, ลูกค้าองค์กร SMEs จากการลดความถี่การออกเดินทางลง

แต่ยังมีข่าวดีว่าบริษัทมีกำไร (Margin) ที่สูงขึ้น จากปกติที่ธุรกิจทัวร์มี Margin ที่ต่ำมาก ราว 2-3% ปีนี้บริษัทจึงต้องรักษาระดับ Margin ให้อยู่ในระดับสูงต่อไป โดยตั้งเป้ามี Margin ที่ราว 7% และจะพยายามรักษาอัตราดังกล่าวต่อไปผ่านกำไรจากสินค้าด้านการท่องเที่ยว เช่น ซิมการ์ด มากขึ้น รวมถึงการลดค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น

มุ่งเน้นขาย “ทัวร์คุณภาพ”

โดยปัจจุบันบริษัททัวร์ได้ปรับให้บริการมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น ออกแบบการเดินทาง สำรองที่พัก, รถยนต์, ร้านอาหาร หรือผู้นำทัวร์ และมองว่าลูกค้ากลุ่มครอบครัวกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด เช่นเดียวกับลูกค้าที่ต้องการความเป็นอิสระและเป็นส่วนตัวมีมากขึ้น

ต่อคำถามประเด็นธุรกิจการทำวีซ่า “โชติช่วง” บอกว่าธุรกิจทำวีซ่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สร้างรายได้ให้บริษัททัวร์ แต่เมื่อบางประเทศยกเว้นการขอวีซ่าแล้ว สินค้าของบริษัททัวร์ก็หายไป แต่หากมองในภาพใหญ่การปลอดวีซ่าก็ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมากขึ้น บริษัททัวร์ก็อาจได้อานิสงส์จากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

“ความท้าทายที่รออยู่คือ ในอนาคตบริษัททัวร์อาจกลับมาแข่งขันราคากัน แต่หนุ่มสาวทัวร์พยายามเน้นทัวร์คุณภาพ และราคาอาจสูงกว่ารายอื่น จึงต้องทำลายกำแพงความรู้สึกด้านราคาให้ลูกค้าเข้าใจว่าบริษัทมีความแตกต่างในเชิงคุณภาพและประสบการณ์”

เชื่อบริษัททัวร์ไม่มีวันตาย

รองกรรมการผู้จัดการบริษัท หนุ่มสาวทัวร์ ยังบอกอีกว่า แม้ปัจจุบันกระแสการเดินทางด้วยตนเองเติบโตจนอาจสร้างความเสี่ยงต่อบริษัททัวร์ แต่ตนยังเชื่อมั่นว่าแม้ตลาดนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตนเอง (FIT) จะเติบโตขึ้น เนื่องจาก Pain point คือ ค่าใช้จ่ายเดินทางด้วยตนเองอาจสูงกว่าการเดินทางกับบริษัททัวร์

และอนาคตนักท่องเที่ยวเหล่านี้อาจต้องการใช้บริการอื่น ๆ มากขึ้น ซึ่งบริษัทเองจำเป็นต้องปรับโมเดลธุรกิจให้มีความยืดหยุ่นตามความต้องการของลูกค้าด้วย

“เมื่อถึงจุดหนึ่งในอนาคตนักท่องเที่ยวเดินทางด้วยตัวเองจะต้องการบริการที่มากขึ้น ซึ่งจะเป็นส่วนเสริมและโอกาสของบริษัททัวร์ในอนาคตด้วยเช่นกัน”

เช่นเดียวกับการเข้ามาของแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) เช่น Agoda, Expedia ที่ตนไม่ได้มองว่าเข้ามาแย่งลูกค้าที่จองตรงกับโรงแรม แต่กลับเป็นสะพานที่จะช่วยเปิดตลาดให้กับโรงแรมเข้าถึงลูกค้าได้

“โชติช่วง” ทิ้งท้ายว่า เคยได้ยินตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ (ศุภฤกษ์ ศูรางกูร ผู้ก่อตั้งหนุ่มสาวทัวร์) พูดกันว่า บริษัททัวร์จะตายเพราะคนจะจองโรงแรม-สายการบินได้โดยตรง แต่ปัจจุบันคุณพ่ออายุ 70 กว่าปีแล้ว บริษัททัวร์ก็ยังอยู่และแข็งแรงอยู่เหมือนเดิม