ก.ท่องเที่ยวฯ เร่งปลุกเที่ยวไทย-จ่อดันเที่ยวผ่านบริษัททัวร์หนุนอีกระลอก

“มติชน” จัดใหญ่ไทยสัมนา “ปลุกไทยเที่ยวไทย ปลุกเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้า” ปลุกความเชื่อมั่น ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ “รมต.พิพัฒน์” สั่งเร่งเครื่องมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศเต็มที่ มั่นใจ 2 แคมเปญใหญ่ “เราเที่ยวด้วยกัน-กำลังใจ” บรรลุเป้าหมาย พร้อมเตรียมเดินหน้า “เราเที่ยวด้วยกัน” เฟส 2 เที่ยวกับบริษัททัวร์ ดันรายได้รวมท่องเที่ยวปีนี้ 1.23 ล้านล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (2 สิงหาคม 2563) หนังสือพิมพ์มติชน ได้จัดสัมมนาหาทางออกของประเทศ ในหัวข้อ “ปลุกไทยเที่ยวไทย ปลุกเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้า” โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ และวงเสวนา “ไทยพร้อมแล้วกับการท่องเที่ยววิถีใหม่”

โดยมีผู้ร่วมเสวนาจำนวน 4 คน ประกอบด้วย ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศ (กกท.), นางฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), พญ. พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย, นายสุรวัช อัครวรมาศ เลขาธิการสภาอุตสาหากรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และอุปนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA)

นางสาวปานบัว บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เนื่องในโอกาสที่หนังสือพิมพ์มติชนดำเนินกิจการเข้าสู่ปีที่ 43 เมื่อวันที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา โดยในปี 2563 นี้หนังสือพิมพ์มติชนได้จัดสัมมนามาแล้ว 2 ครั้ง และครั้งนี้ถือเป็นการจัดสัมมนาครั้งที่ 3 โดยการจัดสัมนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันหาแนวทางให้ประเทศไทยฟโดยเฉพาะภาคธุรกิจการท่องเที่ยวซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไป

ทั้งนี้ เชื่อว่าหากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยฟื้นก็จะทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมเดินต่อไปข้างหน้าได้ อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวก็ต้องมั่นใจว่าเดินทางแล้วมีความปลอดภัยด้วย

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ภาคการท่องเที่ยวของไทยมีส่วนสำคัญในการพยุงเศรษฐกิจ โดยในปี 2562 ที่ผ่านมาประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 18% ของ GDP  แบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.9 ล้านล้านบาท จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 39.8 ล้านคน และรายได้จากไทยเที่ยวไทย 1.1 ล้านล้านบาท จากการเดินทาง 166 ล้านคนครั้ง

สำหรับปี 2563 นี้หากไม่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดรัฐบาลตั้งเป้ารายได้รวมจากการท่องเที่ยวไว้ทีท 3.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 20% ของ GDP แต่หลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดพบว่าในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมาประเทศไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5.5 แสนล้านบาท เหลือเพียงแค่ 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันขอปี 2562 ที่รายได้รวม 1.5 ล้านล้านบาท

“ที่ผ่านมาเราปรับเป้ารายได้ใหม่เหลือ 1.23 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าหากรัฐบาลมีมาตรการเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้เร็ว จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาตีนี้น่าจะอยู่ที่ราว  13-14 ล้านคน แต่ตอนนี้ถ้าได้ถึง 10 ล้านก็ถือว่าอยู่ในอัตราที่ดีแล้ว เพราะในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมาเรามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาแล้ว 6.7 ล้านคน มีการเดินทางของนักท่องเที่ยวคนไทย 54 ล้านคนครั้ง และคาดว่าถึงสิ้นปีน่าจะอยู่ที่ 80-90 ล้านคนครั้ง” นายพิพัฒน์กล่าว

นายพิพัฒน์กล่าวว่า จากมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวไทยภายใต้งบประมาณ 22,400 ล้านบาท ผ่าน 2 แพ็กเกจใหญ่คือ โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” และ “กำลังใจ” ซึ่งทั้ง 2 โครงการได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินผลตอบรับ หากพบว่ายังต้องปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมอะไรก็พร้อมปรับเพิ่มเติมในเฟส 2 และเชื่อมั่นว่าทั้ง 2 โครงการจะสามารถบรรลุเป้าหมาย และกระตุ้นให้คนไทยเกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศได้ถึง 120 ล้านคนครั้ง และสามารถทำรายได้รวมได้ถึง 1.23 ล้านล้านบาทตามเป้าหมาย

“ขณะนี้ทางกระทรวงกำลังประเมินตัวเลขในหลายๆ ส่วน ทั้งประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงพิจารณาเพิ่มมาตรการใหม่ๆเข้ามากระตุ้นอีกระลอก โดยเชื่อว่างบประมาณในโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” น่าจะเหลือราว 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนนี้เราต้องนำเสนอให้นายกรัฐมนตรีอนุมัติให้ใช้ในเฟส 2 ต่อไป ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจเพิ่มรูปแบบการดำเนินงานให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวผ่านบริษัททัวร์อีกช่องทางหนึ่งด้วย” นายพิพัฒน์กล่าว

และย้ำด้วยว่า จะมุ่งมั่นกระตุ้นไทยเที่ยวไทยด้วยรูปแบบการเดินทางท่องเที่ยวที่ปลอดภัยต่อสุขภาพและบริการที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ (Responsible Tourism) ภายใต้นโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยว 4 ประการ คือ ความปลอดภัย (Safety) ความสะอาด​(Clean) ความเป็นธรรม (Fair) และกระจายรายได้สู่ชุมชนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำสู่ความยั่งยืน(Sustainability)