“วัคซีน” จุดเริ่มต้น…ทางรอด ไม่ได้ช่วยให้ธุรกิจมีรายได้มากขึ้น

ยุทธชัย จรณะจิตต์
ยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อิตัลไทย จำกัด

กว่า 1 ปีแล้วที่ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและโรงแรมของไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นระยะเวลาที่ลากยาวเกินกว่าที่ผู้ประกอบการได้คาดการณ์ไว้

“ยุทธชัย จรณะจิตต์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อิตัลไทย จำกัด และผู้บริหารกลุ่มบริษัท ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จำกัด บริษัทบริหารโรงแรมแบรนด์อมารี, โอโซ, ซามา, ซามา ฮับ และผู้ถือหุ้นโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ กล่าวบนเวที “Thailand Survivor…ต้องรอด” จัดโดยประชาชาติธุรกิจ พร้อมให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงแนวทางการบริหาร และทิศทางการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมท่ามกลางวิกฤตโควิด ไว้ดังนี้

การบริหารโรงแรมไม่เหมือนเดิม

“ยุทธชัย” บอกว่า แรกเริ่มที่เกิดการระบาดของไวรัสโควิดคิดว่าผลกระทบ น่าจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ หรือประมาณสัก 12 เดือน ในช่วง 12 เดือนแรกที่เกิดการระบาดกลุ่มออนิกซ์จึงโหมรีอินเวสต์เมนต์ปรับปรุงโรงแรม ทำให้โรงแรมในกลุ่มใหม่ขึ้น สะอาดขึ้น มีระบบที่ดีขึ้น แต่ปัญหาที่ตามมาคือโควิดไม่จบ กระทั่งก้าวสู่ปีที่ 2 แล้ว

จึงมองว่าการบริหารจัดการโรงแรมนับจากนี้ไปจะไม่มีวันเหมือนเดิม ทั้งโครงสร้างการบริหาร และโครงสร้างการจ้างงาน เนื่องจากในระยะเวลา 2-3 ปี นับจากนี้ตลาดหลักของธุรกิจโรงแรมไทยคือ ตลาดภายในประเทศ (domestic) เพราะนักท่องเที่ยวต่างประเทศยังมีข้อจำกัดในด้านการเดินทาง แต่ปัญหาคือ ที่ผ่านมาตลาดโดเมสติกนั้นสร้างรายได้ให้กับธุรกิจโรงแรมในสัดส่วนเพียงแค่ 20% เท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับต้นทุนการดำเนินธุรกิจ

“ตอนนี้เราต้องเปิดให้บริการโรงแรมเพื่อให้พนักงานมีงานทำ และเจ้าของก็ต้องสนับสนุนยอมควักกระเป๋าจ่ายค่าจ้างพนักงาน เพราะรายได้ที่เข้ามาไม่พอสำหรับค่าพนักงานและค่าบริหารในแต่ละเดือน ทุกวันนี้เราต้องพยายามหารายได้เพิ่ม เพื่อให้รายได้กับค่าใช้จ่ายมีความสมดุล และลดการซับซิดี้ของเจ้าของ”

เขย่าโครงสร้าง-ปรับการจ้างงาน

“ยุทธชัย” บอกด้วยว่า จากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างและพอร์ตรายได้ของธุรกิจโรงแรมทำให้กลุ่มออนิกซ์ต้องปรับโครงสร้างการบริหารผู้บริหารระดับสูงอีกครั้ง ด้วยการสนับสนุนให้คนไทยขึ้นมาบริหารงานในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป (GM) ในทุกโรงแรมในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้ เป็นต้นไป หลังจากที่ตนได้เข้ามาคุมบริหารงานด้วยตัวเองตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่ธุรกิจต้องพึ่งพาตลาดภายในประเทศ

รวมถึงปรับระบบการจ้างงานใหม่ให้สอดรับกับการปรับฐานโครงสร้างการจัดจ้างพนักงานใหม่ในเซ็กเตอร์ธุรกิจโรงแรม เนื่องจากที่ผ่านมาธุรกิจโรงแรมเป็นกลุ่มที่เติบโตสูงมาก ส่วนใหญ่จ้างชาวต่างชาติมาบริหาร แต่สถานการณ์ในวันนี้เปลี่ยนไป รายได้หลักมาจากตลาดภายในประเทศ

กระตุ้น “โดเมสติกดีมานด์”

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดโดเมสติกจะมีสัดส่วนเพียงแค่ 20% แต่ก็เป็นตลาดที่ยังมีโอกาสในการเติบโต เนื่องจากกลุ่มคนที่มีกำลังในการใช้จ่าย นิยมเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ กลุ่มนี้จะหันมาใช้จ่ายในประเทศแทน เพราะยังเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศไม่ได้

โดยจะเห็นว่าสินค้าในกลุ่มลักเซอรี่แบรนด์ยังขายดี โรงแรม 5 ดาวยังขายได้ คนกลุ่มนี้ยังกล้าใช้จ่ายรับประทานอาหารมื้อละหลักหมื่น

เช่นเดียวกับโรงแรมในระดับ 4 ดาวที่เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่เริ่มวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวแล้วหลังจากที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ และจะทำให้โดเมสติกดีมานด์กลับมาอีกครั้ง และเชื่อว่าคนจะกล้าเที่ยวในช่วงไตรมาส 3 นี้ ซึ่งโรงแรมทุกแห่งในกลุ่มออนิกซ์ก็ได้เตรียมวางแผนรองรับแล้วเช่นกัน

คาด Q3 รายได้เริ่มกลับมา

เมื่อถามว่าหากสามารถฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมายช่วยทำให้ธุรกิจกลับมาพลิกฟื้นได้มากน้อยแค่ไหน “ยุทธชัย” บอกว่า ตอนนี้แทบทุกโรงแรมในกลุ่มออนิกซ์มองว่ากรกฎาคมนี้น่าจะเห็นการกลับมาของรายได้ โดยเฉพาะรายได้จากตลาดโดเมสติกที่คาดว่าจะกลับมาได้ในช่วงไตรมาส 3 นี้

ส่วนตลาดต่างประเทศที่รัฐมีแผนเปิดภูเก็ตภายใต้โมเดล “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์” 1 กรกฎาคมนั้น ส่วนตัวก็คาดหวังพอสมควร แต่ก็ยังกังวลเรื่องไฟลต์บิน และวอลุ่มของนักท่องเที่ยวที่จะมา เพราะนักท่องเที่ยวภูเก็ตส่วนใหญ่เป็นตลาดยุโรป รัสเซีย สแกนดิเนเวีย ฯลฯ และไฮซีซั่นของภูเก็ตคือช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นไป

ขณะที่ช่วงเดือนกรกฎาคมเป็นช่วงฤดูฝน ไม่เอื้อกับการเดินทางท่องเที่ยวนัก ที่สำคัญตลาดหลักของภูเก็ตในช่วงกรกฎาคม คือ อินเดียและมิดเดิลอีสต์ ซึ่งเป็นตลาดที่ยังมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดที่รุนแรงอยู่ ดังนั้น ในมุมการตลาดคงต้องปรับตัวพอสมควร และควรต้องหันไปโฟกัสกลุ่มยุโรปและอเมริกาทดแทน ซึ่งกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์มาก อาจยังเป็นโรงแรมในกลุ่มลักเซอรี่เป็นหลัก

“วัคซีน” ไม่ได้แก้ปัญหาทุกอย่าง

“ยุทธชัย” บอกด้วยว่า ประเด็นที่น่าเป็นห่วงสำหรับการเปิดประเทศคือ ประเทศไทยมีความพร้อมสำหรับเปิดประเทศแล้วจริงหรือ เพราะปัจจุบันคนส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน และเมื่อถึง 1 ตุลาคม เราจะสามารถฉีดวัคซีนได้มากแค่ไหน ที่สำคัญสามารถปรู๊ฟได้หรือยังว่าคนที่เดินทางเข้ามาจากต่างประเทศนั้นได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว

“แม้ว่าคนไทยจะมีการฉีดวัคซีนแล้ว แต่ส่วนใหญ่เป็นในกลุ่มคนสูงอายุ กลุ่มคนทำงานเพิ่งเริ่มต้นฉีด ซึ่งอาจต้องใช้เวลา 3-4 เดือนกว่าจะฉีดได้ครบ ดังนั้น โจทย์จึงอยู่ที่ว่าเราจะทำอย่างไรต่อเพื่อที่จะบอกว่าประเทศไทยเรา safe to travel และตอนนี้เราอยู่ในจุดที่รับรองว่าเราเป็น 1 ในประเทศที่ปลอดภัยสำหรับการท่องเที่ยวหรือยัง และถ้าเปิดไปแล้วเกิดมีการกลับมาระบาดอีกครั้งจะตั้งรับกันอย่างไร”

“ยุทธชัย” ยังบอกอีกว่า เราต้องคิดไปไกล ๆ ว่า วัคซีนไม่ได้แก้ไขปัญหาทุกอย่างเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ช่วยให้เราไม่ป่วย ไม่ตาย แต่อาจจะไม่ได้ช่วยให้ธุรกิจมีรายได้มากขึ้น เพราะรายได้หลักของกลุ่มโรงแรมนั้น 80% มาจากต่างประเทศ

ประเด็นปัญหาขณะนี้คือ โรงแรมแห่งหนึ่งมีต้นทุนค่าบริหารสูงมาก เฉลี่ย 3-40 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับแบรนด์ และสเกล โรงแรมที่เป็นรีสอร์ตทั่วไปต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งเจ้าของต้องควักกระเป๋าจ่ายอยู่ทุกวันในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เจ้าของโรงแรมเป็นหนี้มากขึ้น ต้องผ่อนยาวขึ้น จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น จุดคุ้มทุนก็ยังยาวอยู่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเซ็กเตอร์แบงกิ้งในอนาคตแน่นอน

ยันธุรกิจโรงแรมไม่มีวันตาย

ซีอีโอกลุ่มอิตัลไทยยังย้ำด้วยว่า แม้ว่าสถานการณ์โควิดยังยืดเยื้อ แต่เชื่อว่าจะเริ่มเห็นรายได้กลับมาบ้างภายในสิ้นปีนี้ และคาดว่าโควิดจะยังมีผลกระทบต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 2 ปี

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวยังเชื่อว่าในการเติบโตของธุรกิจ และมองว่าธุรกิจโรงแรมไม่มีวันตาย เพราะประเทศไทยเป็นเบอร์ 1 ในด้าน tourist destination of the world ซึ่งจุดนี้ประเทศไทยต้องรักษาไว้

สิ่งสำคัญคือ ผู้ประกอบการโรงแรมต้องเน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณนักท่องเที่ยวสร้างความแตกต่าง และทำให้ทุกคนเชื่อ และช่วยกันรักษาภาพลักษณที่ดีของการท่องเที่ยวของไทย เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฮับการท่องเที่ยวในภูมิภาคเซาท์อีสต์เอเชียต่อไป

โดยกลุ่มของออนิกซ์ในฐานะที่เป็นแบรนด์และบริษัทคนไทยที่มีความคิดเป็นอินเตอร์ได้พยายามบอกว่าแต่ละแบรนด์มีโพซิชันนิ่งและราคาในแต่ละเซ็กเมนต์อย่างชัดเจน สามารถแข่งขันกับแบรนด์อินเตอร์ได้ และมีความเชื่อว่าธุรกิจจะกลับมาสดใสอีกครั้ง

สะท้อนชัดเจนจากการที่กลุ่ม “ออนิกซ์” ได้ทุ่มเงินลงทุนไปหลาย ๆ พันล้านในช่วงที่ผ่านมา…