หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า เศรษฐกิจไทยจำเป็นต้อง “ปรับโครงสร้าง” เพื่อสร้างเครื่องยนต์หรือกลไกในการขับเคลื่อน (growth engine) ตัวใหม่ ประกอบกับการพัฒนาไปข้างหน้าอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้ทั้งภาคธุรกิจและภาครัฐต้องเร่งปรับตัวเพื่อตามให้ทัน โดยเฉพาะเรื่องที่ใหม่มาก ๆ และกำลังเป็นโจทย์ท้าทายการกำกับดูแลก็คือ การเข้ามาของสินทรัพย์ดิจิทัล
ซึ่งหลายคนมีคำถามว่า ประเทศไทยจะวาง positioning ในเรื่องนี้อย่างไร คำตอบจะเป็นแบบไหน “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รมว.คลัง ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ “อนาคตประเทศไทยกับสินทรัพย์ดิจิทัล” ไว้ในงานสัมมนาสินทรัพย์ดิจิทัล Game Changer เดิมพันเปลี่ยนอนาคต จัดโดย “ประชาชาติธุรกิจ” เมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
ภาครัฐไม่ปฏิเสธสินทรัพย์ดิจิทัล
โดย “อาคม” กล่าวว่า ปัจจุบันเทรนด์ที่จะเข้ามาพัฒนาเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ก็คือ การเปลี่ยนแปลงไปสู่เทคโนโลยีดิจิทัล โดยต่อไปนี้จะเห็นทุกอย่างเป็นดิจิทัลไปหมด เรียกว่าเป็นจุดเริ่มต้นก็ย่อมได้ เพราะว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาพัฒนาการทางเทคโนโลยีดิจิทัลได้เปลี่ยนแปลงให้เกิดสินทรัพย์ใหม่ประเภทหนึ่งขึ้นก็คือ สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีการกระจายอย่างรวดเร็วและเกิดขึ้นกับทั่วโลก
ซึ่งสิ่งที่เห็นในประเทศไทยปี 2563-2564 ก็คือ ผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มขึ้นจาก 9 ราย เป็น 14 ราย มูลค่าการซื้อขายของคริปโตเคอร์เรนซีต่อวันเพิ่มจาก 240 ล้านบาท เป็น 4,839 ล้านบาท มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นจาก 9,600 ล้านบาท เป็น 114,000 ล้านบาท
“จะเห็นได้ว่าสินทรัพย์ดิจิทัลมีการเพิ่มขึ้นที่รวดเร็ว และที่สำคัญคือจำนวนบัญชีผู้ใช้บริการในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มจาก 170,000 ราย เป็น 2 ล้านราย ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ส่วนในแง่ผู้เล่นรายใหม่ นอกจากตลาดหุ้น ตลาดหลักทรัพย์ไทยแล้ว ก็มีตลาดคริปโตเคอร์เรนซีเพิ่มขึ้นมา ซึ่งก็มีภาคธุรกิจหลายรายเริ่มใช้โทเค็นดิจิทัลเป็นทางเลือกในการระดมทุน แต่การพัฒนาที่สำคัญส่วนนี้คือเรื่องบล็อกเชนเทคโนโลยีซึ่งจะไม่ผ่านศูนย์กลาง สามารถระดมทุนโดยตรงไปที่ประชาชนได้ทันที”
“ส่วนโทเค็นพร้อมใช้ (utility token) ในแง่การกำกับของภาครัฐคงต้องใช้เวลา แต่ทั้ง 2 เรื่องก็เป็นเรื่องที่เราไม่ปฏิเสธ เพราะภาครัฐก็ให้ความสำคัญต่อการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัล”
หนุนการเป็นแหล่งทุนสตาร์ตอัพ
“อาคม” กล่าวว่า หากถามว่าโอกาสหรือประโยชน์ของสินทรัพย์ดิจิทัลมีอะไรบ้างนั้น แน่นอนว่าโอกาสจากทางเลือกของการลงทุนมีแน่นอน และยังมีเรื่องของการสนับสนุนสตาร์ตอัพกลุ่มเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้มีการยกเว้นภาษีให้แก่ venture capital ที่เข้าไปลงทุนในสตาร์ตอัพ ช่วยให้สตาร์ตอัพมีแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมนอกเหนือจากสินเชื่อจากสถาบันการเงิน และแน่นอนว่าอนาคตสินทรัพย์ดิจิทัลก็จะเข้ามามีบทบาทเป็นแหล่งทุนเพิ่มเติมอีก
คุ้มครองผู้ลงทุน-ป้องกันเสียหาย
การกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น “อาคม” บอกว่า ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ใช้แนวทางการกำกับดูแลตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็กำกับดูแลในด้านภาคการเงิน
โดยทั้ง 2 หน่วยงานมีการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งสำหรับเรื่องการชำระเงินด้วยรูปแบบสกุลเงินดิจิทัลนั้นปัจจุบันทั่วโลกยังไม่ยอมรับ อย่างไรก็ดี ทาง ธปท.ก็ได้มีการพัฒนา Central Bank Digital Currency (CBDC) หรือสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางขึ้นมา เช่นเดียวกับทั่วโลกที่กำลังทำในเรื่องดังกล่าวอยู่เช่นกัน
“การกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล กระทรวงการคลังมีนโยบายต้องยึดประโยชน์ผู้ลงทุน ต้องคุ้มครองไม่ให้เกิดความเสียหาย โดย ธปท.ก็ดูแลร่วมกัน และ ก.ล.ต.ก็อยู่ระหว่างปรับปรุงกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อให้กำกับดูแลครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการดูแลระบบเศรษฐกิจ คุ้มครองผู้ลงทุน ขณะเดียวกัน ก็ฝากถึงผู้ประกอบการคริปโตเคอร์เรนซีและโทเค็นดิจิทัลว่าการให้ข้อมูลลูกค้าเป็นเรื่องสำคัญ รวมถึงความเสถียรของระบบที่จะรองรับการซื้อขาย”
เปิดรับมุมมองใหม่เพื่อพัฒนา
ส่วนสิ่งที่ยังมองไม่เห็นขณะนี้ก็คือ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสินทรัพย์ดิจิทัล โดยหลายประเทศให้งบประมาณในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้เกิดการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยี แต่ประเทศไทยยังมีการลงทุนในด้านนี้น้อย นอกจากนี้ ยังมีเรื่องบุคลากรที่ต้องเร่งพัฒนา โดยเฉพาะบุคลากรด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งต้องมีความรู้รองรับ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยจำเป็นจะต้องมีการพัฒนากำลังแรงงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาคสถาบันการศึกษาจะต้องตระหนักในเรื่องนี้
นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลควรต้องเปลี่ยนจากการรวมศูนย์ไปเป็นระบบกระจายศูนย์ ซึ่งผู้ประกอบการต้องระวังโดยเฉพาะระบบคอมพิวเตอร์ ระบบไฟฟ้า และระบบหลังบ้าน ที่ต้องมีการกระจายความเสี่ยงเพราะเป็นเรื่องความมั่นคงและปลอดภัยของระบบ
“เรื่องสำคัญที่จะมองอนาคตสินทรัพย์ดิจิทัลไปข้างหน้านั้น เป็นเรื่องการเปิดมุมมองใหม่ สิ่งที่จะเห็นคือบทบาทสินทรัพย์ดิจิทัลจะมีมากขึ้นในการระดมทุนในระบบเศรษฐกิจและการบริการโดยการใช้เทคโนโลยี ซึ่งในภาครัฐก็จะมีมากขึ้น ทั้งนี้ ก็อยากฝากไว้ว่าเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลคริปโตเคอร์เรนซี และแม้กระทั่งระบบการชำระเงินต่าง ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ต้องก้าวไปด้วยกัน ถ้าคิดว่ามีอะไรที่ติดขัดก็สามารถมาหารือกันได้ กระทรวงการคลังพร้อมที่จะหารือและหาทางแก้ปัญหาให้ทั้งหมด” รมว.คลังกล่าว