บทเรียนจาก “เบร็กซิต” เรื่องเศร้าที่เป็นความจริง

อังกฤษ เบ็กซิต
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์

“เบร็กซิต” ถือเป็น “สงครามทางความคิด” ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นในสหราชอาณาจักร (ยูเค) การต่อสู้ ถกเถียง โต้แย้ง ซึ่งกันและกันระหว่างกลุ่มที่ต้องการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป กับกลุ่มที่ต้องการคงอยู่กับอียู ขับเคี่ยวกันตั้งแต่การลงประชามติในปี 2016 เรื่อยมาจนกระทั่งการถอนตัวออกมาแล้วเสร็จสมบูรณ์ในเดือนมกราคม 2020 เข้มข้นและแหลมคม งัดสารพัดวิธีมาใช้กันจนถึงที่สุด

กระบวนการเบร็กซิต ที่เริ่มตั้งแต่ยุคนายกรัฐมนตรี “เดวิด คาเมรอน” ผ่านนายกรัฐมนตรี “เทเรซา เมย์” จนลงเอยที่นายกรัฐมนตรี “บอริส จอห์นสัน” กินเวลายาวนานถึง 4 ปี

เป็น 4 ปีที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งที่ลุกลามขยายวงออกไปเรื่อย ๆ จนถึงขณะนี้ยังไม่สิ้นสุด บังเกิดวาทกรรม “ขายฝัน” และ “ปั้นตัวเลข” ขึ้นมามากมาย เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลประโยชน์จากการนี้นอกเหนือจาก “เสรีภาพ”, “อธิปไตย” และ “การกลับมาควบคุมชะตากรรม” ของตัวเองและประเทศชาติที่ยืนพื้นมาตั้งแต่ต้น

ถึงตอนนี้ หน่วยงาน นักวิเคราะห์ นักวิจารณ์ และแน่นอนว่า บุคคลทั่วไป ต่างพากันมองย้อนกลับไปถึงเกือบ 3 ปีที่ผ่านมากันแล้วว่า “เบร็กซิตโปรเจ็กต์” นั้น ที่แท้แล้ว ก่อให้เกิดผลลัพธ์อะไรขึ้นบ้าง และในความเป็นจริง เบร็กซิตเป็นเรื่องชวนยินดีหรือน่าเศร้าสลดกันแน่

ในปี 2019 จาค็อบ รีส-มอกก์ นักการเมืองเบร็กซิตตัวยง ระเบิดวาทกรรมไว้ว่า เบร็กซิตจะนำมาซึ่งอาหาร เสื้อผ้า รองเท้า ที่ราคาถูกลง รายได้ของผู้ที่มีรายได้น้อยที่สุดในสังคมจะเพิ่มสูงขึ้น ถึงตอนนี้ชาวสหราชอาณาจักรส่วนใหญ่ได้ตระหนักแล้วว่า เหล่านั้นล้วนเป็นวาทกรรม “ขายฝัน” ที่ไม่มีวันเกิดขึ้นได้จริง ๆ

คนที่ได้รับประโยชน์สูงสุดคือผู้พูด คนที่เดือดร้อนที่สุดจากการหลงเชื่อวาทกรรมประดิดประดอยเหล่านี้ก็คือ คนชั้นล่างในสังคมยูเค ที่แบ่งรายได้ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดไปเป็นค่าใช้จ่ายในด้านอาหาร เสื้อผ้า และการรักษาโรค

งานวิจัยล่าสุดของ “ลอนดอน สกูล ออฟ อีโคโนมิกส์” (แอลเอสอี) พบว่า เมื่อตัดหรือไม่คำนึงถึง “ปัจจัยโลก” อย่างเช่นสงครามยูเครนหรือการแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้ว การนำเข้าสินค้าประเภทอาหารจากอียูมาสู่ยูเคในช่วงปี 2020 และ 2021 ทำให้ต้นทุนของสินค้าอาหารเหล่านั้นสูงขึ้นถึง 6% คิดเป็นเม็ดเงินสูงถึง 6,000 ล้านปอนด์ หรือคิดเฉลี่ยต่อครัวเรือนแล้วเพิ่มขึ้นครัวเรือนละ 210 ปอนด์ สาเหตุหลักมาจากความเฉื่อยชาของระบบตรวจสอบ จัดเก็บภาษีเพื่อการนำเข้าสินค้าเหล่านั้นมาจากอียู

ที่น่าเสียใจและน่าเสียดายมากยิ่งขึ้นก็คือ สหภาพเกษตรกรแห่งชาติ (National Farmers’ Union) แถลงเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี่เองว่า ราว 40% ของผลิตผลทางการเกษตรของสมาชิกของสหภาพ “จำเป็นต้อง” ถูกปล่อยให้เน่าเสียไปเฉย ๆ เพราะไม่มีแรงงานต่างชาติจากยุโรปเข้ามาช่วยเหลือเก็บเกี่ยวให้ตรงตามฤดูกาล อันเป็นผลมาจากการ “แบน” โดยตรงจากเบร็กซิต

สหภาพระบุว่า ผลผลิตด้านการเกษตรที่จำเป็นต้องปล่อยทิ้งไว้ให้เน่าเสียหายอย่างน่าเสียดายเหล่านั้น คิดแล้วเทียบได้เท่ากับปริมาณมื้ออาหารของผู้คนในยูเคมากถึง 7,000 ล้านมื้อเลยทีเดียว

สถานการณ์ด้านการค้าระหว่างยูเคกับอียู ทรุดตัวลงเร็วมาก สาเหตุสำคัญสืบเนื่องจากความเฉื่อยชาและซับซ้อนของระบบใหม่หลังเบร็กซิต ตัวอย่างเช่น เดิม ผู้ผลิตสินค้าจากยูเค สามารถส่งสินค้าไปถึงและวางขายในอียูประเทศใดประเทศหนึ่งได้ภายในเวลาไม่เกิน 2 วัน

ถึงตอนนี้ช่วงเวลาที่ว่านี้ขยายออกไปมากถึง 21 วัน

สำนักงานเพื่อความรับผิดชอบด้านงบประมาณ (the Office for Budget Responsibility) คำนวณเอาไว้ล่าสุดว่า เฉพาะปัจจัยเรื่องเบร็กซิตเพียงเรื่องเดียว ทำให้การค้าของยูเคหดหายไปถึง 4% หรือคิดเป็นตัวเงินได้ราว ๆ 100,000 ล้านปอนด์ต่อปี

ทำให้ต้องสูญเสียรายได้ในรูปของภาษีไปถึง 40,000 ล้านปอนด์ ทั้ง ๆ ที่เม็ดเงินภาษีที่ว่านี้กำลังเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับยูเคในยามนี้

งานวิจัยที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งซึ่งเพิ่งตีพิมพ์ผยแพร่เมื่อต้นเดือนธันวาคมนี้ คือรายงานของนัฟฟีลด์ ทรัสต์ ที่เข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ของโรงพยาบาลและสถานพยาบาลต่าง ๆ ของรัฐภายใต้การดูแลของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (เอ็นเอชเอส) ที่ระบุว่า ระบบสถานพยาบาลในยูเคกำลัง “ตึงตัว” อย่างหนักจากการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์

รายงานของนัฟฟีลด์ระบุว่า “สถานการณ์ในส่วนของบริการตามการประกันสังคมในเวลานี้ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด” เพราะขาดแคลนบุคลากรมากที่สุด เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์จากอียูที่เคยอพยพเข้ามาทำหน้าที่ต้องถูกปิดกั้นไปทั้งหมดเพราะเบร็กซิต

เหล่านี้คือบางส่วนของความเป็นจริงที่เป็นผลมาจากเบร็กซิต ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่ว่า ในสังคมยูเคในเวลานี้ เบร็กซิตได้รับความชื่นชอบหลงเหลือน้อยที่สุด


เป็นความจริงที่น่าเศร้าสำหรับประชาชน ที่นั่น ความจริงซึ่งนักการเมืองอย่างจาค็อบ รีส-มอกก์ ก็ดี บอริส จอห์นสัน ก็ดี ไม่เคยออกมาพูดถึงอีกเลย