ระเบียบการค้าน้ำมันโลก กำลังจะเปลี่ยนใต้เงา “จีน”

น้ำมันโลก จีน
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขยน : ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์

เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา เครดิต สวิส ส่งรายงานเชิงวิเคราะห์ที่น่าสนใจอย่างยิ่งถึงลูกค้าผู้ใช้บริการ เป็นบทวิเคราะห์ว่าด้วยระเบียบการค้าน้ำมันดิบของโลก ซึ่งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเงินสกุล “ดอลลาร์” มาช้านาน

บทวิเคราะห์ดังกล่าวระบุว่า ระเบียบการค้าน้ำมันโลกดังกล่าวกำลังจะเปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเกิดขึ้นช้า ๆ แต่ในที่สุด น้ำมันโลก ก็จะหลุดพ้นจากอิทธิพลของเงินดอลลาร์อย่างแน่นอน

เปลี่ยนจาก “เปโตรดอลลาร์” ไปเป็น “เปโตรหยวน”

“โซลตัน พอซซาร์” นักวิเคราะห์ของเครดิต สวิส ผู้เขียนบทความชิ้นนี้ระบุว่า หากการพบกันระหว่าง “แฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์” ประธานาธิบดีสหรัฐ กับกษัตริย์ อับดุล อาซิซ แห่งซาอุดีอาระเบีย เมื่อ 70 ปีก่อน เพื่อทำความตกลงผูกติดการค้าน้ำมันเข้ากับเงินสกุลดอลลาร์แลกกับการรับประกันความมั่นคงในตะวันออกกลาง คือจุดกำเนิดของ “เปโตรดอลลาร์”

การพบหารือกันระหว่าง “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีนกับผู้นำซาอุดีอาระเบียและผู้นำชาติอื่นในกลุ่มประเทศความร่วมมือแห่งอ่าวเปอร์เซีย (จีซีซี) เมื่อธันวาคม 2022 ก็คือจุดกำเนิดของ “เปโตรหยวน”

พอซซาร์ชี้ว่า สิ่งที่ สี จิ้นผิง ต้องการก็คือ การเขียน “กฎเกณฑ์ว่าด้วยการค้าน้ำมันของโลก” ใหม่ อันเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามลดอิทธิพลของเงินดอลลาร์ ที่ประเทศเศรษฐกิจใหม่ระดับหัวแถวอย่างกลุ่มประเทศ “บริค” ที่ประกอบด้วย บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย และจีน กับอีกหลาย ๆ ประเทศอยากให้เกิดขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้สหรัฐอเมริกา ใช้ระบบการปริวัตรเงินทุนสำรองสกุล “ดอลลาร์” มาเป็น “อาวุธ” เหมือนอย่างที่นำมาใช้หลังรัสเซียบุกยูเครน

สี จิ้นผิง ไม่เพียงแค่อยากเห็นการซื้อขายน้ำมันดิบด้วยเงินหยวนเพิ่มมากขึ้นอีกมากเท่านั้น แต่ยังขยายอิทธิพลออกไปครอบคลุมเรื่องอื่น ๆ อีกด้วย

ผู้นำจีนกล่าวไว้ในการพบหารือครั้งประวัติศาสตร์ว่า นอกจากจะต้องการนำเข้า น้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากกลุ่มประเทศจีซีซีเพิ่มขึ้นมหาศาลในช่วง 3-5 ปีจากนี้แล้ว จีนยังต้องการ “ความร่วมมือดำเนินการด้านพลังงานในทุกมิติ” อีกด้วย

พอซซาร์ระบุว่า “ความร่วมมือด้านพลังงาน” เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจหมายถึงการร่วมมือกัน “สำรวจ” และ “ผลิต” น้ำมันดิบในสถานที่ที่จีนต้องการ อย่างเช่นในพื้นที่แถบทะเลจีนใต้ เป็นต้น

ทั้งยังเป็นไปได้ว่า จีนพร้อมจะลงทุนร่วมกับซาอุดีฯและชาติอื่น ๆ ในกลุ่มจีซีซี เพื่อพัฒนาโรงกลั่น พัฒนาโรงงานผลิตสารเคมี และพลาสติกตามมา

โดยคาดหวังว่าทั้งหมดจะชำระกันในรูป “เงินหยวน” ผ่าน “ตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนก๊าซธรรมชาติและปิโตรเลียมเซี่ยงไฮ้” นับตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป

ทั้งหมดนั่นหากเกิดขึ้นจริงจะเป็นการพลิกโฉมหน้าการค้าพลังงานของโลกครั้งใหญ่ในความเห็นของพอซซาร์

เหตุผลก็เพราะน้ำมันดิบในแหล่งน้ำมันสำรองที่ยังไม่ได้สูบขึ้นมาแต่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่ามีอยู่จริงของกลุ่มโอเปกพลัสทั้งหมดนั้น รัสเซีย, อิหร่าน และเวเนซุเอลา มีอยู่ถึง 40% อีก 40% อยู่ในมือของกลุ่มประเทศจีซีซี ส่วนอีก 20% ก็ล้วนอยู่ในพื้นที่ที่เป็น “บริวาร” ของรัสเซียหรือไม่ก็จีน

ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อเป็นหลักประกันสำหรับผู้ที่ต้องการเทรดน้ำมันดิบ และผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียมอื่น ๆ ในรูปของเงินหยวน จีนจึงเสนอให้สามารถนำเงินหยวนไปแลกเปลี่ยนเป็น “ทองคำ” ตามอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดได้ ผ่านตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนทองคำเซี่ยงไฮ้ และฮ่องกงได้ด้วย

ในความเห็นของพอซซาร์ สิ่งเหล่านี้อาจไม่สามารถทำให้เงินสกุลหยวนกลายเป็นเงินสกุลหลักในทุนสำรองแทนเงินดอลลาร์ได้ก็จริง แต่ก็มีนัยในทางเศรษฐกิจและการเงินสูงยิ่ง

เขาเชื่อว่าที่ใดมีพลังงานมั่นคงและราคาถูก ธุรกิจอุตสาหกรรมทั้งหลายก็จะพุ่งเข้าหา จีนก็น่าจะเป็นเช่นเดียวกัน พอซซาร์ยกตัวอย่างกรณี BASF ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเคมีของโลก ประกาศลดขนาดโรงงานหลักของตัวเองในเมือง ลุดวิกชาเฟน ประเทศเยอรมนีอันเป็นบ้านเกิด แล้วโยกย้ายปฏิบัติการด้านเคมีทั้งหมดมายังจ้านเจียง ประเทศจีนเมื่อไม่นานมานี้เพราะปัญหาพลังงาน

พอซซาร์คิดว่า กรณีของ BASF อาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “เทรนด์ใหม่” ที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมา

ในทางการเงิน “เปโตรหยวน” ก็ไม่น่าจะต่างไปจาก “เปโตรดอลลาร์” คือก่อให้เกิดเม็ดเงินมหาศาลขึ้น ซึ่งในอดีตถูกประเทศ “เศรษฐีน้ำมัน” ผ่องถ่ายไปลงทุนในประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ทั้งหลายเป็นจำนวนมาก

ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินขึ้นในประเทศเหล่านั้นหลายต่อหลายครั้ง นับตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1970 เรื่อยมา

พอซซาร์เชื่อว่ามีแนวโน้มที่ว่ากระแสดังกล่าวกำลังไหลย้อนกลับทิศทางกับในอดีตที่ผ่านมา เพราะ “เปโตรหยวน” ไม่เพียงเป็นการสุมฟืนให้กับกองไฟ “ลดอิทธิพลของดอลลาร์” ลงเท่านั้น

ต่อไปในวันข้างหน้า ตัวการที่ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในบรรดาชาติตะวันตก อาจไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น “จีน” ที่สามารถควบคุมแหล่งน้ำมันดิบสำรองและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมไว้ในมือนั่นเอง