ถ้าสหรัฐอเมริกาผิดนัดชำระหนี้ ความเสียหายที่จะเกิดขึ้น มีอะไรบ้าง 

สรุปผลกระทบ-ความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ถ้ารัฐสภาสหรัฐไม่อนุมัติขยายเพดานหนี้สาธารณะก่อนวันที่ 1 มิถุนายนนี้ แล้วรัฐบาลสหรัฐต้องผิดนัดชำระหนี้ 

สหรัฐอเมริกายังฝุ่นตลบ คุยกันยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องขยายเพดานหนี้สาธารณะ สมาชิกรัฐสภาสหรัฐจากพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ในสภาจะไม่อนุมัติให้ขยายเพดานหนี้ ถ้ารัฐบาลพรรคเดโมแครตไม่ยอมรับเงื่อนไขที่รีพับลิกันเสนอให้ปรับลดงบประมาณลง และต้องมีข้อกำหนดที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในการให้สวัสดิการ หรือให้เงินช่วยเหลือประชาชน

รัฐบาลพรรคเดโมแครตยืนยันปฏิเสธเงื่อนไขของรีพับลิกันมาแล้วหลายครั้งหลายหน โจ ไบเดน (Joe Biden) ประธานาธิบดีสหรัฐพูดไปหลายครั้งว่า ปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ที่อาจจะเกิดขึ้น ควรแยกออกจากกันเป็นคนละเรื่องกับปัญหาด้านงบประมาณ และมีรายงานว่าในการเจรจากับเควิน แม็กคาร์ธี (Kevin McCarthy) ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ครั้งล่าสุด วันที่ 16 พฤษภาคม 2566 เขาก็ยังยืนยันตามเดิม 

เจเน็ต เยลเลน (Janet Yellen) รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐส่งเสียงเตือนแล้วหลายครั้งว่า มาตรการพิเศษที่กระทรวงการคลังดึงเงินมาใช้จะสิ้นสุดลงในวันที่ 1 มิถุนายนที่จะถึงนี้ ซึ่งถ้าสภายังไม่อนุมัติขยายเพดานหนี้สาธารณะ หรือระงับเพดานหนี้สาธารณะชั่วคราว กระทรวงการคลังจะไม่มีเงินสำหรับจ่ายค่าใช้จ่ายของรัฐ และสหรัฐอเมริกาจะผิดนัดชำระหนี้ 

แม้ว่าเควิน แม็กคาร์ธี บอกกับผู้สื่อข่าวหลังการหารือกับไบเดนและทีมงานพรรคเดโมแครตครั้งล่าสุดว่า เชื่อว่าข้อตกลงจะเกิดขึ้นได้ภายในสุดสัปดาห์นี้ แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าข้อตกลงที่ว่าจะเป็นอย่างไร หรือจะตกลงกันได้จริงหรือไม่

หารือเพดานหนี้สหรัฐ
โจ ไบเดน และทีมงาน หารือเรื่องการขยายเพดานหนี้กับเควิน แม็กคาร์ธี/REUTERS/Evelyn Hockstein


แล้วถ้าสหรัฐผิดนัดชำระหนี้ ผลกระทบ-ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นมีอะไรบ้าง “ประชาชาติธุรกิจ” หาข้อมูลและสรุปออกมาดังนี้ 

 

เศรษฐกิจเสียหายรุนแรง คนตกงานหลายล้าน

สภาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ (Council of Economic Advisers : CEA) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสำนักงานบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐ และนักวิจัยจากภายนอกวิเคราะห์ว่า หากรัฐบาลสหรัฐผิดนัดชำระหนี้ เศรษฐกิจจะพลิกกลับด้านอย่างรวดเร็ว จากที่อยู่ในทิศทางการเติบโตจะกลายเป็นถดถอย ซึ่งระดับความเสียหายจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาการผิดนัดชำระหนี้ ถ้าการผิดนัดชำระหนี้ยืดเยื้ออาจนำไปสู่ความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ การจ้างงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งก็จะกลายเป็นตำแหน่งงานหายไปเป็นหลักล้าน 

นักเศรษฐศาสตร์ก็มีความเห็นอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า การผิดนัดชำระหนี้จะก่อให้เกิดหายนะทางเศรษฐกิจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 

เวนดี เอเดลเบิร์ก (Wendy Edelberg) และหลุยส์ ไชเนอร์ (Louise Sheiner) นักวิเคราะห์ของ Brookings Institution ก็กล่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า การผิดนัดชำระหนี้ทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะเกิดการหยุดชะงักอย่างมีนัยสำคัญในตลาดเงิน และมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นควบคู่กับการลดลงของราคาของตราสารทุน การสูญเสียความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ และการเข้าถึงตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลหดตัวลง

การวิเคราะห์ของ Moody’s เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ข้อสรุปว่า หากรัฐบาลสหรัฐผิดนัดชำระหนี้เป็นเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ ตำแหน่งงานจะหายไปเกือบ 1 ล้านตำแหน่ง อัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 5% จากระดับปัจจุบันที่ 3.5%

หากการผิดนัดชำระหนี้ยืดเยื้อประมาณ 6 สัปดาห์ จะมีคนตกงานมากกว่า 7 ล้านคน อัตราการว่างงานจะพุ่งขึ้นไปสูงกว่า 8% และจีดีพีจะลดลงมากกว่า 4%  

ในทางตรงข้าม ถ้ามีการขยายเพดานหนี้ การเติบโตของการจ้างงานจะดำเนินต่อไป และภายในอีกไม่กี่ไตรมาสข้างหน้าจะมีการจ้างงานเพิ่มอีก 900,000 ตำแหน่ง 

โจ ไบเดน
โจ ไบเดน/REUTERS/Evelyn Hockstein

 

ความเสียหายที่เกิดทันทีในไตรมาสแรกที่ผิดนัดชำระหนี้

จากแบบจำลองที่จัดทำโดยสภาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ (Council of Economic Advisers : CEA) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสำนักงานบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐ แสดงให้เห็นว่า ถ้ามีการผิดนัดชำระหนี้ เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยอย่างรวดเร็วและรุนแรง 

ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทันทีในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ซึ่งเป็นไตรมาสแรกที่เกิดการผิดนัดชำระหนี้คือ ดัชนีตลาดหุ้นดิ่งลง 45%, เกิดผลกระทบต่อการจ่ายเงินสวัสดิการประกันสังคม, ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจลดลงอย่างมาก, การบริโภคและการลงทุนหดตัวลง และการว่างงานจะเพิ่มขึ้น 5 จุดเปอร์เซ็นต์ (percentage point) 

สถานการณ์จะต่างจากในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากเกิดโรคระบาดโควิด-19 รัฐบาลจะไม่สามารถช่วยเหลือผู้บริโภคและภาคธุรกิจได้ ขณะที่การผิดนัดชำระหนี้ยังดำเนินต่อไป เศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า และการว่างงาน ณ สิ้นปี 2566 จะยังคงสูงขึ้น 3 จุดเปอร์เซ็นต์ (percentage point) 

 

ไม่มีเงินจ่ายสวัสดิการสังคม ชาวอเมริกันเดือดร้อนหนัก

มีผู้เกษียณอายุ ผู้พิการ และบุคคลอื่น ๆ ที่ได้รับสวัสดิการประกันสังคมรายเดือนจำนวน 66 ล้านคน โดยเงินที่จ่ายสำหรับผู้เกษียณอายุในปี 2566 เฉลี่ยอยู่ที่ 1,827 ดอลลาร์ต่อเดือน (ประมาณ 62,574 ล้านบาท) 

ตามรายงานของคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อประกันสังคมและโครงการประกันสุขภาพของรัฐบาล (National Committee to Preserve Social Security and Medicare : NCPSSM) ระบุว่า ผู้ได้รับประโยชน์จากเงินประกันสังคมเกือบ 60% พึ่งพาเงินจากประกันสังคมเป็นครึ่งหนึ่งของรายได้ของพวกเขา และอีก 40% ที่เงินที่ได้รับจากประกันสังคมถือเป็น 90% หรือเกือบทั้งหมดของของรายได้ที่พวกเขาได้รับในแต่ละเดือน 

ถ้ารัฐบาลสหรัฐผิดนัดชำระหนี้ การจ่ายเงินเหล่านี้อาจล่าช้า ซึ่งจะทำให้คนที่พึ่งพิงเงินเหล่านี้เดือดร้อนมาก และการจ่ายเงินอื่น ๆ ของรัฐบาลอาจได้รับผลกระทบเช่นกัน อย่างเช่น ทุนสำหรับโครงการ Food Stamp (SNAP) และเงินช่วยเหลือของรัฐบาลกลางแก่รัฐและเทศบาลสำหรับโครงการต่าง ๆ 

เจเน็ต เยลเลน เพดานหนี้สหรัฐ
เจเน็ต เยลเลน/REUTERS/ Elizabeth Frantz/ File Photo

 

ความน่าเชื่อถือลด ต้นทุนการกู้เงินของรัฐจะสูง

Fitch Ratings รายงานว่า หลังจากการผิดนัดชำระหนี้ อันดับเครดิตของสหรัฐจะลดลงไปที่ “RD” (Restricted Default) และพันธบัตรรัฐบาลจะมีอันดับเครดิต “D” จนกว่าการผิดนัดชำระหนี้จะได้รับการแก้ไข

ด้าน Moody’s ตั้งข้อสังเกตว่า แม้แต่การผิดนัดชำระหนี้ในระยะสั้น ๆ ก็อาจนำไปสู่การที่รัฐบาลสหรัฐต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้สูงขึ้นในระยะยาว 

การวิเคราะห์ของ Brookings Institution ระบุว่า หากการผิดนัดชำระหนี้ทำให้นักลงทุนทั่วโลกไม่มองว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเป็นสินทรัพย์ที่ “ไม่มีความเสี่ยง” อีกต่อไปแล้ว ซึ่งหมายถึงการสูญเสียความเชื่อมั่นในการเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและมีสภาพคล่องสูงเหนือกว่าใคร จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลกลางสหรัฐสูงขึ้นกว่า 750,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงทศวรรษหน้า 

 

ชาวอเมริกันต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้สูงขึ้นอีก

และเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ดอกเบี้ยบัตรเครดิต และดอกเบี้ยเงินกู้ที่มีสินทรัพย์จดจำนอง มักขึ้นอยู่กับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรกระทรวงการคลัง ดังนั้น ค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงินและการชำระหนี้ของภาคเอกชนและครัวเรือนจึงสูงขึ้นด้วย เป็นค่าใช้จ่ายที่ชาวอเมริกันต้องจ่ายมากขึ้นอีก จากปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยก็สูงอยู่แล้ว

ครอบครัวและธุรกิจต่าง ๆ จะมีช่วงเวลาที่ยากขึ้นในการได้รับการอนุมัติวงเงินสินเชื่อ เนื่องจากธนาคารจะต้องเลือกมากขึ้นว่าจะให้ใครกู้ยืมเงิน นั่นเป็นเพราะต้นทุนในการกู้ยืมเงินของพวกเขาก็จะสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะจำกัดจำนวนเงินที่พวกเขาสามารถให้ยืมได้

เควิน แม็กคาร์ธี เพดานหนี้สหรัฐ
เควิน แม็กคาร์ธี/REUTERS/Kevin Lamarque/ File Photo

 

อิทธิพลของเงินดอลลาร์ลดลง

หากสหรัฐอเมริกาผิดนัดชำระหนี้ คนที่จะยิ้มกริ่มคงเป็นสี จิ้นผิง (Xi Jinping) ประธานาธิบดีจีน กับวลาดิมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) ประธานาธิบดีรัสเซีย ที่กำลังแสวงความร่วมมือเพื่อลดอำนาจเงินดอลลาร์สหรัฐลง 

นักเศรษฐศาสตร์ของสถาบันปีเตอร์สัน (Peterson Institute) วิเคราะห์ว่า เมื่อดีมานด์การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐลดลง ก็จะทำให้บทบาทของเงินดอลลาร์สหรัฐในระบบเศรษฐกิจโลกอ่อนแอลง ความต้องการซื้อเงินดอลลาร์จะลดลง และค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นจะมีความผันผวนมากขึ้น มีสภาพคล่องน้อยลง กระตุ้นให้นักลงทุนลดการถือครองเงินดอลลาร์ลง

 

ตลาดทุนย่อยยับ

ตลาดทุนสหรัฐและนักลงทุนจะได้รับผลกระทบโดยตรง กรณีตัวอย่างในปี 2011 ระหว่างที่ในสภาคองเกรสมีความขัดแย้งเรื่องเพดานหนี้สาธารณะ S&P ลดเกรดความน่าเชื่อถือของสหรัฐลง ก่อนที่สภาจะขยายเพดานหนี้ในนาทีสุดท้าย ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐมีสัปดาห์ที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการณ์การเงิน (วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์) ในช่วงปี 2007-2008 

Moody’s Analytics วิเคราะห์ว่า แม้ว่าจะมีการแก้ไขขยายเพดานหนี้ในไม่ช้าหลังจากการผิดนัดชำระหนี้ แต่หุ้นอาจสูญเสียมูลค่าไปมากถึง 1 ใน 3 ของมูลค่าก่อนการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งนั่นจะทำลายความมั่งคั่งในครัวเรือนสหรัฐประมาณ 12 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 411 ล้านล้านบาท