ตลาดหุ้นทั่วโลกมูลค่าร่วงต่ำกว่า 100 ล้านล้านเหรียญครั้งแรกใน 4 เดือน หุ้นแบรนด์หรูดิ่งสุด

ตลาดหุ้นนิวยอร์ก
ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE)/ แฟ้มภาพ 21 สิงหาคม 2023/ (ภาพโดย ANGELA WEISS / AFP)

มูลค่ารวมของตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงต่ำกว่า 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 4 เดือน เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2023 ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนของจีน ส่งผลให้หุ้นบริษัทสินค้าหรูและหุ้นบริษัทเทคโนโลยีร่วงแรง ฉุดมูลค่ารวมวูบหนัก 

วันที่ 28 กันยายน 2023 สำนักข่าวนิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานอ้างอิงข้อมูลจาก QUICK-FactSet ของบริษัทผู้ให้บริการข้อมูลและการวิเคราะห์ทางการเงินและเศรษฐกิจ “ควิก” (QUICK) ว่า มูลค่ารวมของตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงต่ำกว่า 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 4 เดือน เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2023 โดยมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 99.21 ล้านล้านดอลลาร์ ลดลง 7% จากจุดสูงสุดครั้งล่าสุดในวันที่ 31 กรกฎาคม 2023 และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2023 

MSCI ACWI Index ดัชนีหุ้นขนาดกลางถึงใหญ่ใน 23 ตลาดที่เป็นตลาดที่พัฒนาแล้ว (Developed Market : DM) และอีก 27 ประเทศในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market : EM) ลดลง 1% เมื่อคำนวณรวมในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ 

ในบรรดาบริษัทที่มีมูลค่าตั้งแต่ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป ราคาหุ้นของบริษัทกลุ่มแบรนด์หรูมีการร่วงลงแรงที่สุดในช่วงระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคมถึงวันที่ 26 กันยายน โดยแอลวีเอ็มเอช (LVMH Moet Hennessy Louis Vuitton) ราคาร่วงลงมากที่สุดถึง 20.4% ตามมาด้วยคริสเตียน ดิออร์ (Christian Dior) และแอร์เมส (Hermes International) ลดลง 20% และ 18.7% ตามลำดับ 

ราคาหุ้น LVMH
ราคาหุ้น LVMH หกเดือนย้อนหลัง


ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในตลาดสำคัญอย่างจีน บวกกับคาดการณ์เศรษฐกิจยุโรปที่คาดว่าจะอ่อนแอ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หุ้นของบริษัทสินค้าหรูร่วงลง เนื่องจากต้องพึ่งพาการใช้จ่ายของผู้บริโภค 

ในเดือนนี้องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนปี 2023 ลงจาก 5.4% เป็น 5.1% และลดคาดการณ์จากปี 2024 ลงจาก 5.1% เป็น 4.6% ในปี 2024 พร้อมกับบอกว่าเศรษฐกิจจีน “สูญเสียโมเมนตัม” 

นอกจากนั้น OECD ยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะเติบโตช้า โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะโตเพียง 0.6% ปรับลดลงจากครั้งก่อนที่คาดว่าจะโต 0.9% ขณะที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่ายูโรโซนมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ stagflation หรือภาวะสินค้าราคาสูงขึ้นขณะที่คนไม่มีกำลังใช้จ่าย 

อีกปัจจัยสำคัญคือ การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยระยะยาวทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา ที่ส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าหุ้น 

นอกจากนั้น ความกังวลบริษัทที่ชะลอการลงทุนทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องเย็นลง หุ้นบริษัทซีเมนส์ (Siemens) ร่วงลง 19.5% ในช่วงระหว่างปลายเดือนกรกฎาคมถึงวันที่ 26 กันยายน ฟานัก (Fanuc) หุ้นบริษัทผลิตหุ่นยนต์สำหรับอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น ทำสถิติราคาต่ำสุดของปีนี้ (year-to-date) ติดต่อกันหลายวัน และในวันที่ 27 กันยายน ร่วงลงถึง 28% จากระดับสูงสุดในวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา   

“อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกทำให้ต้นทุนทางการเงินสำหรับธุรกิจเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความกังวลว่าพวกเขาจะทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินทุนใหม่” โทโมะ คิโนชิตะ (Tomo Kinoshita) นักยุทธศาสตร์ตลาดทุนระดับโลกของบริษัทจัดการกองทุน อินเวสโค แอสเซต แมเนจเมนต์ (Invesco Asset Management) กล่าว

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีก็เป็นอีกกลุ่มที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากเมื่ออัตราดอกเบี้ยระยะยาวเพิ่มขึ้นจะเป็นการเพิ่มอัตราคิดลด (discount rate) ที่ใช้คำนวณหามูลค่าปัจจุบันของกำไรในอนาคตของบริษัท ส่งผลให้หุ้นที่ตั้งราคาไว้ตามความคาดหวังถึงการเติบโตสูงจึงดูมีราคาแพงกว่า 

หุ้นของเอเอสเอ็มแอล (ASML Holding) ผู้ผลิตอุปกรณ์การผลิตชิปในเนเธอร์แลนด์ ณ วันที่ 26 กันยายน ลดลง 20.1% จากสิ้นเดือนกรกฎาคม ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากมีรายงานในเดือนนี้ว่า ทีเอสเอ็มซี (Taiwan Semiconductor Manufacturing : TSMC) ขอให้ซัพพลายเออร์ชะลอการส่งมอบอุปกรณ์ 

ขณะเดียวกัน เงินของนักลงทุนไหลเข้าสู่หุ้น defensive stocks หรือหุ้นปลอดภัยที่เติบโตช้าแต่มีความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจน้อย ซึ่งรวมถึงบริษัทยาอีไล ลิลลี่ (Eli Lilly) ซึ่งเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาบริษัทที่มูลค่าสูงกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ โดยมีกำไรเพิ่มขึ้นถึง 21% ตามมาด้วยแอมเจน (Amgen) บริษัทชีวเวชภัณฑ์สัญชาติอเมริกัน และโนโว นอร์ดิสก์ (Novo Nordisk) บริษัทยาจากเนเธอร์แลนด์ ที่มีกำไรเพิ่มขึ้น 15% และ 14% ตามลำดับ 

อย่างไรก็ตาม ผู้ติดตามตลาดบางคนคาดว่าการตกต่ำของหุ้นทั่วโลกจะเบาบางในที่สุดหากดอกเบี้ยลดลง 

“หากอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง ธนาคารกลางสหรัฐอาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียงครั้งเดียวในปีนี้” โชจิ ฮิราคาวะ (Shoji Hirakawa) หัวหน้านักกลยุทธ์ระดับโลกของสถาบันวิจัยโทไกโตเกียว (Tokai Tokyo Research Institute) กล่าว และเขาบอกอีกว่า อัตราดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐจะขึ้นถึงสูงสุดในช่วงเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายนนี้แล้ว เมื่อดอกเบี้ยลดลงก็จะช่วยลดแรงกดดันที่ทำให้ราคาหุ้นลดลง