
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ใครที่ติดตามข่าวคราวเศรษฐกิจต่างประเทศ หรือสนใจเรื่องการลงทุน คงจะได้เห็นข่าวที่ว่า เศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณดีขึ้นแล้ว แต่ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ยังมีข่าวว่านักลงทุนดึงเงินลงทุนออกจากจีนอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด ในวันนี้ (21 กันยายน 2023) หุ้นจีนถูกบันทึกสถิติว่า “ร่วงหนักสุดในรอบ 10 เดือน” โดยดัชนี เอ็มเอสซีไอ ไชน่า (MSCI China Index) ร่วงลง 1.6% ซึ่งเป็นการร่วงลงเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นบริษัทใหญ่จากจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงก็ร่วงลงกว่า 1% เช่นกัน ส่วนค่าเงินหยวนที่ซื้อขายในประเทศอ่อนค่าลง 0.2%
ข้อมูลเศรษฐกิจที่ว่าเป็น “สัญญาณดี” ไม่ช่วยอะไรหุ้นจีนเลยหรือ ? “ประชาชาติธุรกิจ” ชวนไล่เรียงเหตุการณ์และเหตุผล เพื่อหาคำตอบไปด้วยกัน
เมื่อต้นปีจีนเปิดประเทศอีกครั้ง หลังจากปิดประเทศมา 3 ปี ในตอนแรก ๆ ที่เปิดประเทศก็ดูเหมือนว่าเศรษฐกิจกำลังจะฟื้นตัวดี แต่พอเข้าสู่ไตรมาส 2 เศรษฐกิจจีนก็อ่อนแรงลง ดังที่มีข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจออกมาให้เห็นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทั้งการส่งออก-นำเข้า การผลิต การบริโภคภายในประเทศอ่อนแอทั้งหมด
ฝั่งวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ลากยาวมาตั้งแต่ปี 2021 ก็โผล่ออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ข่าวการผิดนัดชำระหนี้มีออกมาให้เห็นแทบทุกสัปดาห์
ทั้งคนในและคนนอกต่างก็เรียกร้องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ซึ่งทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นในจีนก็ได้ออกมาตรการที่หวังกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นการเชื่อมั่นออกมาแล้วหลายชุด รวมถึงธนาคารกลางของจีน (PBOC) ก็ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงหลายตัว
ถึงอย่างนั้นก็ตาม ภาคธุรกิจ นักลงทุน และนักเศรษฐศาสตร์ล้วนมองตรงกันว่า “ยังไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้”
ด้วยบรรยากาศที่ไม่ดี และการดำเนินนโยบายที่ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ นักลงทุนในตลาดทุนก็ย่อมต้องดึงเงินลงทุนออกจากจีนไปหาที่ที่มองว่ามีโอกาสมากกว่า จึงได้เห็นกระแสเงินทุนไหลออกตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
ช่วงปลายเดือนสิงหาคม จีนประกาศลดอากรแสตมป์สำหรับการซื้อขายหุ้นจาก 0.1% สู่ 0.05% โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2023 เป็นต้นไป เพื่อกระตุ้นการลงทุนในหุ้นจีนซึ่งทำผลงานได้แย่มาหลายเดือน
จากนั้น จบเดือนสิงหาคมด้วยการที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นจีนรวมเป็นมูลค่า 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 434,000 ล้านบาท) ซึ่งเป็นมูลค่าการขายสูงสุดในเดือนเดียว นับตั้งแต่ที่จีนเริ่มใช้ช่องทางเชื่อมต่อการซื้อหุ้นระหว่างตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่กับตลาดหุ้นฮ่องกง ในเดือนพฤศจิกายน 2014
เมื่อเข้าสู่เดือนกันยายน มีตัวเลขที่ชี้ให้เห็นว่าการผลิตในเดือนสิงหาคมขยายตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่ความต้องการสินเชื่อฟื้นตัวขึ้น และแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดลดลงเล็กน้อย
ถึงอย่างนั้นก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์มองว่าปัจจัยลบและความเสี่ยงของจีนยังมีมาก ทำให้จีนโดนหั่นตัวเลขคาดการณ์จีดีพีลง
ต่อมา ในวันที่ 15 กันยายน 2023 สำนักงานสถิติแห่งชาติ (NBS) ของจีนรายงานตัวเลขเศรษฐกิจจีนประจำเดือนสิงหาคม ซึ่งตัวเลขหลายตัวพัฒนาดีขึ้น ทำให้ในวันนั้นจีนถูกพูดถึงในสื่อทั่วโลกไปในทิศทางบวกว่า “เศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้นแล้ว” หรือ “เศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณดีขึ้นแล้ว”
หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนเปิดเผยออกมา หุ้นจีนก็ตอบรับเชิงบวก ดัชนีหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงบวกขึ้น 1.6% หลังทราบข้อมูล ขณะที่ดัชนี CSI 300 บนจีนแผ่นดินใหญ่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นเล็กน้อย ค่าเงินหยวนที่ซื้อขายภายในประเทศเพิ่มขึ้น 0.5% และอัตราผลตอบแทนรัฐบาลอายุ 10 ปีก็เพิ่มขึ้น
แต่อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่า หลังจากวันนั้นมาหุ้นจีนก็ยังโดนเทขายและร่วงลงต่อเนื่อง
การที่หุ้นจีนโดนเทขายอย่างต่อเนื่อง นั่นก็เพราะเหตุผลเพื้นฐานที่ว่า “นักลงทุนยังคงไม่เชื่อมั่นในจีน” และสัญญาณที่ว่า “ดีขึ้น” นั้น ถ้าพูดตรง ๆ ก็คือ มันเป็นการไฮไลต์ข้อมูลในฝั่งเดียว
ถ้าดูในรายละเอียดของข้อมูลที่แถลงออกมาจะเห็นว่ามีตัวเลขบางตัวที่ดีขึ้น แต่ก็มีตัวเลขบางตัวที่ยังไม่ดี
ตัวเลขที่ดีขึ้นคือ การเติบโตของ “การผลิตภาคอุตสาหกรรม” ซึ่งบ่งชี้แนวโน้มการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศ
“ยอดค้าปลีก” เป็นอีกตัวที่ดีขึ้น และ “อัตราการว่างงานในเขตเมือง” ที่เบาลงเล็กน้อย
ส่วนตัวเลขที่ยังไม่สดใสก็คือ “การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร” ในช่วง 8 เดือนแรกที่เพิ่มขึ้นในอัตราชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับอัตราการเพิ่มขึ้นของช่วง 7 เดือนแรก เนื่องจากการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในเดือนสิงหาคมลดลง
“อัตราการเติบโตของการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน” เป็นอีกตัวที่หดตัวลงเล็กน้อย แม้ว่ารัฐบาลมณฑลต่าง ๆ ของจีนจะเร่งการออกพันธบัตรพิเศษเพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานก็ตาม ซึ่งนั่นชี้ให้เห็นว่าการส่งผ่านเงินทุนเป็นไปอย่างเชื่องช้า และส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนเองก็เตือนในถ้อยแถลงในวันนั้นว่า “เราต้องดูด้วยว่ายังมีความไม่แน่นอนและความไม่มั่นคงมากมายอยู่ภายนอก และอุปสงค์ในประเทศยังดูไม่มากพอ”
เนียว หวัง (Neo Wang) กรรมการผู้จัดการฝ่ายการวิจัยตลาดจีนของ Evercore ISI บริษัทที่ปรึกษาวาณิชธนกิจจากนิวยอร์กวิเคราะห์ไว้น่าสนใจเมื่อปลายเดือนสิงหาคมว่า การพลิกฟื้นของตลาดหุ้น A-share จะไม่เกิดขึ้น เว้นแต่ว่ารัฐบาลจีนจะใช้มาตรการ “บาซูก้า” (การกระตุ้นขนานใหญ่) มากกว่านี้ เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวนเมื่อปี 2008
ในเดือนกันยายน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นจีนแล้ว 3,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 137,600 ล้านบาท)
การที่นักลงทุนต่างชาติยังคงเทขายหุ้นจีนสะท้อนว่า ความพยายามของรัฐบาลจีนที่จะฟื้นฟูความเชื่อมั่นของตลาดนั้นไม่ได้ผลดังที่คาดหวัง
นอกจากปัจจัยลบต่าง ๆ ที่สะสมมาก่อนหน้านี้ การที่หุ้นจีนร่วงลงแรงในวันนี้ (21 กันยายน) เกิดขึ้นท่ามกลางการลดความเสี่ยงในตลาดตราสารทุนทั่วโลก หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณในวันที่ผ่านมา (20 กันยายน) ว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังสูงไปอีกนานกว่าที่คาด ทำให้หุ้นในตลาดที่มีความเสี่ยงสูงต้องโดนเทก่อน
ปัจจัยเรื่องดอกเบี้ยของเฟดซึ่งส่งผลต่อตลาดทุนทั่วโลก บวกกับความเสี่ยงที่ภาคอสังหาริมทรัพย์จีนจะตกต่ำลงไปกว่านี้ อาจทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลงไปอยู่ในระดับต่ำกว่านี้อีก
ขณะที่ความเชื่อมั่นในภาคเศรษฐกิจจริง (real sector) ก็กำลังลดน้อยถอยลงเช่นกัน โดยเฉพาะในหมู่บริษัทจากสหรัฐ
อย่างที่มีข้อมูล ผลการสำรวจความคิดเห็นบริษัทสหรัฐที่ทำธุรกิจในจีนเผยแพร่ในรายงานของหอการค้าอเมริกัน (AmCham) ในนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งผลการสำรวจพบว่า สัดส่วนของผู้ตอบแบบสำรวจที่มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการทำธุรกิจในประเทศจีนในช่วง 5 ปีข้างหน้าลดลงเหลือ 52% เป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่หอการค้าอเมริกันในเซี่ยงไฮ้ เริ่มมีการออกรายงานประจำปีในปี 1999 หรือ 24 ปีก่อน