จีนลดภาษีซื้อขายหุ้น เหมือนจะดี แต่ยังไม่พอ แนวโน้มนักลงทุนต่างชาติเทขายต่อ 

หุ้นจีน
ภาพโดย AFP/ China OUT

จีนลดอากรแสตมป์การซื้อขายหุ้นเพื่อกระตุ้นตลาด ซึ่งดูเหมือนจะได้ผล แต่ยังไม่พอ นักลงทุนต่างชาติเทขายต่อ คาดว่าจะทำให้ฟันด์โฟลว์เดือนสิงหาคมนี้ทำสถิติ “ไหลออก” จากหุ้นจีนสูงเป็นประวัติการณ์ 

จีนประกาศลดอากรแสตมป์สำหรับการซื้อขายหุ้นจาก 0.1% สู่ 0.05% โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2023 เป็นต้นไป เพื่อกระตุ้นการลงทุนในหุ้นจีนซึ่งทำผลงานได้แย่สุด ๆ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา 

ผลในวันแรกของการใช้มาตรการกระตุ้นตลาดนี้ยังไม่ได้ดูดีเท่าไรนัก 

ดัชนี CSI 300 ของตลาดหุ้นจีน เปิดตลาดวันจันทร์ที่ 28 สิงหาคมนี้ บวก 5.5% แต่แล้วก็กลับลงไปปิดตลาดที่บวก 1.2% 

ด้านดัชนีฮั่งเส็ง ไชน่า เอนเตอร์ไพรส์ (Hang Seng China Enterprises Index : HSCEI) ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นบริษัทจีนแผ่นดินใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดในวันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม บวก 1.15% ชะลอลงจากที่เคยเพิ่มขึ้น 4.1% ก่อนหน้านี้ แม้ว่าการเพิ่มขึ้นได้ช่วยลดการขาดทุนในเดือนสิงหาคมให้ต่ำกว่า 10% แต่ดัชนี HSCEI ยังคงเป็นหนึ่งในดัชนีที่ทำผลงานแย่ที่สุดในบรรดามาตรวัดหุ้นกว่า 90 ตัวทั่วโลกที่บลูมเบิร์ก (Bloomberg) ติดตามอยู่ 

จากการรายงานของบลูมเบิร์ก ในวันที่ 28 สิงหาคม เงินลงทุนจากต่างประเทศยังคงเร่งขายหุ้นจีนออกตลอดทั้งวัน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ฟันด์โฟลว์สุทธิเดือนสิงหาคมนี้เป็น การไหลออกที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของหุ้นจีน

ตรงกันกับที่รอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า นักลงทุนต่างชาติยังคงหนีออกจากหุ้นจีน โดยฟันด์โฟลว์สุทธิไหลออกจากหุ้นจีนในตลาดหุ้นฮ่องกง 8,000 ล้านหยวน (ประมาณ 39,200 ล้านบาท)  

เหตุผลที่ฟันด์โฟลว์ยังคงไหลออกจากหุ้นจีนต่อเนื่องก็เป็นเหตุผลที่นักลงทุนพยายามส่งเสียงมาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้แล้วว่า จีนยังกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดไม่มากพอ ต้องมีการกระตุ้นมากกว่านี้ 

บลูมเบิร์กรายงานว่า นักลงทุนต่างชาติยังคงหนีจากหุ้นจีนเป็นจำนวนมาก และการตอบสนองของตลาดต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจีนทยอยประกาศในช่วงที่ผ่านมา ก็เริ่มเงียบงันมากขึ้นในช่วงสัปดาห์หลัง ๆ มานี้ 

เมื่อวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลจีนประกาศมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ซึ่งกระตุ้นให้เกิด “การซื้อหุ้น” อย่างชุลมุนในช่วงแรก โดยดัชนี CSI 300 ของจีนสามารถพลิกกลับจากการขาดทุนได้ แต่ก็ลดลงอีกหลังจากผ่านไปประมาณ 10 นาที และปิดตลาดวันนั้นเป็นลบ 0.4%  

มาร์วิน เฉิน (Marvin Chen) นักวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ (Bloomberg Intelligence) วิเคราะห์ว่า การลดอากรแสตมป์แสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนสำหรับผู้กำหนดนโยบายที่จะพลิกฟื้นความเชื่อมั่นของตลาด แต่การลดอากรแสตมป์ครั้งล่าสุด (เมื่อเดือนเมษายน 2008) ตามมาด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งครั้งนี้อาจไม่มีมาตรการกระตุ้นขนานใหญ่แบบนั้น และเขาคอมเมนต์ว่า จีนจำเป็นต้องมีการสนับสนุนเชิงนโยบายเพิ่มเติม  

“เราคาดว่าการแรลลี่ในสัปดาห์นี้อาจจะน้อยกว่าที่เกิดขึ้นหลังจากที่จีนลดอากรแสตมป์ในปี 2008” เนียว หวัง (Neo Wang) กรรมการผู้จัดการฝ่ายการวิจัยตลาดจีนของ Evercore ISI บริษัทที่ปรึกษาวาณิชธนกิจจากนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกากล่าว 

เขาวิเคราะห์เพิ่มเติมว่า การพลิกฟื้นกลับของตลาด A-share จะไม่เกิดขึ้น เว้นแต่ว่ารัฐบาลจีนจะใช้มาตรการ “บาซูก้า” (การกระตุ้นขนานใหญ่) มากกว่านี้ เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวนเมื่อปี 2008