
เบิร์กเชียร์ แฮทาเวย์ (Berkshire Hathaway) บริษัทโฮลดิงของวอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) กำลังถูกจับตามองถึงความเคลื่อนไหวในประเทศญี่ปุ่นต่อจากนี้ หลังจากที่เสนอขายหุ้นกู้สกุลเงินเยน ระดมทุนในญี่ปุ่นไป 281,800 ล้านเยน (ประมาณ 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 63,060 ล้านบาท) เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา
การขายหุ้นกู้ชุดใหม่นี้ทำให้เบิร์กเชียร์มีมูลค่าการออกหุ้นกู้สกุลเงินเยนรวมในปีนี้ 545,100 ล้านเยน (ประมาณ 121,980 ล้านบาท) ซึ่งเป็นมูลค่าการออกหุ้นกู้ในญี่ปุ่นรายปีสูงสุดเท่าที่เคยมีมา
ก่อนหน้านี้ ในปี 2022 และ 2023 เบิร์กเชียร์ขายหุ้นกู้สกุลเงินเยนเป็นมูลค่าไม่ถึง 300,000 ล้านเยน แต่ในปีนี้ได้เพิ่มมูลค่าการระดมทุนอย่างมีนัยสำคัญ นั่นจึงถูกจับตามองว่ากำลังจะมีการลงทุนครั้งใหญ่ในตลาดหุ้นญี่ปุ่นในเร็ว ๆ นี้หรือไม่
เนื่องจากผู้ร่วมตลาดมองว่า เงินทุนที่เบิร์กเชียร์ระดมได้จากญี่ปุ่นในครั้งนี้อาจจะนำไปใช้เพิ่มการลงทุนในญี่ปุ่น ตอนนี้ในตลาดจึงกำลังมองหาบริษัทในญี่ปุ่นที่สร้างรายได้ดีและมีหนี้สินต่ำ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่อาจจะเป็นเป้าหมายในการเข้าไปลงทุนของเบิร์กเชียร์ เพราะบัฟเฟตต์ชอบหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) สูง ไม่มีหนี้ หรือมีหนี้ต่ำ และมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง
กลุ่มธุรกิจที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือธุรกิจธนาคาร ดังที่ คาซุยูกิ มูระมัตสึ (Kazuyuki Muramatsu) หัวหน้าแผนกการลงทุนของกลุ่มธุรกิจการเงินและที่ปรึกษาการลงทุน นาโกมิ แคปิตัล (Nagomi Capital) วิเคราะห์ว่า หลังจากขายหุ้นธนาคารแบงก์ออฟอเมริกา (Bank of America) ออกไปจำนวนมากในปีนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่เบิร์กเชียร์จะหันมาสนใจธนาคารขนาดใหญ่และธนาคารท้องถิ่นของญี่ปุ่น
ด้วยการคาดการณ์ว่าธุรกิจธนาคารและการเงินอาจเป็นเป้าหมายการเข้าลงทุนของเบิร์กเชียร์ และนักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งมองว่า การที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (Bank of Japan : BOJ) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะหนุนให้หุ้นธนาคารและหุ้นบริษัทประกันภัยเป็นหุ้นที่น่าซื้อ ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัท มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (Mitsubishi UFJ Financial Group) ซึ่งเป็นธนาคารชั้นนำของญี่ปุ่น และบริษัทประกันภัย เอ็มเอสแอนด์เอดี อินชัวแรนซ์ กรุ๊ป โฮลดิงส์ (MS&AD Insurance Group Holdings) เพิ่มขึ้น 2% เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มประกันภัยและกลุ่มธนาคารในดัชนีโทปิกซ์ (Topix) เพิ่มขึ้น 1% ครองอันดับ 2 และ 3 ของกลุ่มธุรกิจที่ทำกำไรมากที่สุดของวัน
นอกจากนั้น อีกกลุ่มธุรกิจที่ถูกจับตามองว่าเบิร์กเชียร์อาจเข้าลงทุน คือ ธุรกิจขนส่งสินค้า (Shipping) ดังที่ เอจิ คิโนอุชิ (Eiji Kinouchi) หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เทคนิคของบริษัทหลักทรัพย์ ไดวา ซีเคียวริตีส์ (Daiwa Securities) วิเคราะห์ว่า หุ้นธุรกิจขนส่งสินค้าซึ่งมีอัตราเงินปันผลสูงอาจเป็นกลุ่มธุรกิจที่ดึงดูดบัฟเฟตต์ได้
ปัจจุบัน เบิร์กเชียร์ แฮทาเวย์ ถือหุ้นบริษัทเทรดดิ้งชั้นนำ 5 อันดับแรกของญี่ปุ่น ได้แก่ อิโตชู (Itochu) มิตซูบิชิ (Mitsubishi Corp.) มิตซุย (Mitsui & Co.) ซูมิโตโม (Sumitomo Corp.) และมารูเบนิ (Marubeni) ซึ่งหุ้นของทั้ง 5 บริษัทปิดตลาดสูงขึ้นเพียง 1% เท่านั้นในวันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม
คาดว่าราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นไม่มาก เป็นผลจากการที่เบิร์กเชียร์ไม่มีการเปิดเผยถึงแผนการเพิ่มการลงทุนในหุ้นบริษัทเหล่านี้อีกเลยนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2023 เป็นต้นมา ต่างจากเมื่อปีที่แล้วที่บัฟเฟตต์ไปเยือนญี่ปุ่นและประกาศแผนการเพิ่มการลงทุนในบริษัททั้ง 5 ซึ่งได้สร้างความคึกคักในตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ช่วยดันให้ดัชนีหุ้นญี่ปุ่นพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้ เนื่องจากเบิร์กเชียร์มีนโยบายที่จะจำกัดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัททั้ง 5 ไว้ที่ 9.9% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัทนั้น ๆ ซึ่งขณะนี้เบิร์กเชียร์ถืออยู่เป็นสัดส่วนประมาณ 9% ของแต่ละบริษัท นั่นหมายความว่า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย เบิร์กเชียร์ก็แทบไม่เหลือช่องว่างให้เพิ่มการลงทุนในบริษัทเหล่านี้แล้ว
ทาเคฮิโกะ มาซุซาวา (Takehiko Masuzawa) หัวหน้าฝ่ายซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลิป ซีเคียวริตีส์ เจแปน (Phillip Securities Japan) วิเคราะห์ว่า หากเบิร์กเชียร์เปิดเผยถึงการถือหุ้นบริษัทอื่น ๆ นอกเหนือจากยักษ์เทรดดิงทั้ง 5 นี้ จะเป็นการบ่งชี้ว่าเบิร์กเชียร์ได้ขยายหมวดหมู่และจำนวนหุ้นที่ซื้อ ซึ่งจะเป็นเหมือนคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้นญี่ปุ่นโดยรวม
ถึงแม้ว่าขณะนี้ตลาดกำลังพุ่งความสนใจไปที่หุ้นที่บัฟเฟตต์อาจเข้าซื้อ เพื่อที่จะซื้อเก็งกำไร แต่นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งมีมุมมองว่า หุ้นญี่ปุ่น ณ เวลานี้ ไม่ได้น่าซื้อมากเท่าไหร่แล้ว
มิตสึชิเกะ อากิโนะ (Mitsushige Akino) ประธานบริษัทหลักทรัพย์จัดการการลงทุน อิชิโยชิ แอสเสต แมเนจเมนต์ (Ichiyoshi Asset Management) วิเคราะห์ว่า สำหรับนักลงทุนต่างชาติ โมเมนตัมความน่าดึงดูดใจของหุ้นญี่ปุ่นได้ผ่านไปแล้ว และหากไม่ได้ซื้อในตอนนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นการ “ตกรถ” ในทางตรงข้าม การลงทุนในทางเลือกอื่น ๆ นอกเหนือจากหุ้นญี่ปุ่นโดยใช้เงินทุนที่กู้ยืมในสกุลเงินเยนก็ให้ประโยชน์เช่นกัน เนื่องจากเงินกู้ในญี่ปุ่นมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำ
อ้างอิง :