บทบรรณาธิการ
สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ได้คาดการณ์การส่งออกตลอดทั้งปี 2566 จะขยายตัวอยู่ระหว่าง 1-2% สอดคล้องกับเป้าหมายการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ ที่ประเมินร่วมกับภาคเอกชนในนาม กรอ.พาณิชย์ เมื่อช่วงสิ้นปี 2565 จะขยายตัวที่ระดับ 1-2% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายในปี 2565 ที่ตั้งไว้ที่ 4%
เฉพาะการส่งออกในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาปรากฏ มีมูลค่า 21,718.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือหดตัว -14.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า22,752.7 ล้านเหรียญ หรือหดตัว -12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ในเดือนธันวาคม 2565 ไทยขาดดุลการค้า 1,033.9 ล้านเหรียญ โดยการส่งออกไทยในเดือนธันวาคมที่หดตัว -14.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนนั้น ถือเป็นตัวเลขการส่งออกที่หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน หลังจากในเดือนตุลาคมการส่งออกไทยหดตัว -4.4% และเดือนพฤศจิกายน 2565 การส่งออกหดตัว -6%
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
แม้ว่าการส่งออกในเดือนมกราคมอาจจะสามารถส่งออกไปได้ถึง 22,000 ล้านเหรียญ หรือเติบโต 3-5% แต่ในไตรมาสแรกของปี 2566 คาดว่าไทยจะสามารถส่งออกไปได้แค่ 70,000 ล้านเหรียญ หรือยังคงติดลบ 3-5% อยู่ดี จากปัจจัยสำคัญที่ควบคุมได้และไม่ได้ ได้แก่
เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่เป็นตลาดหลักของไทย ไม่ว่าจะเป็น ตลาดสหรัฐ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น รวมไปถึงความกังวลในตลาดจีน ภายหลังจากที่ “ยกเลิก” นโยบาย Zero COVID สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่กดดันทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ต่อไป ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนที่จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ราคาพลังงานโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราคาน้ำมัน ยังอยู่ในระดับสูงหรือระหว่าง 80-90 เหรียญ/บาร์เรล
อัตราเงินเฟ้อแม้จะชะลอตัวลง แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงและยังไม่อยู่ในกรอบของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ตั้งเอาไว้ และค่าเงินบาทที่ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทางด้านราคาต่อประเทศที่มีค่าเงินอ่อนกว่าไทย
นอกจากนี้ยังมีความกังวลในเรื่องของค่าไฟฟ้า จากการปรับขึ้นค่า Ft อย่างต่อเนื่องมาตั้งปี 2565 ส่งผลให้ ค่าไฟฟ้า ในภาคอุตสาหกรรม ถูกปรับขึ้นไปถึง 5.33 บาท/หน่วย โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชนได้แสดงจุดยืนต้องการให้ค่าไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมปรับขึ้นไปไม่เกิน 5 บาท/หน่วย เพราะค่าไฟฟ้าที่ปรับสูงขึ้น จะส่งผลไปถึงต้นทุนพลังงานในการผลิตสินค้าและผู้ส่งออกโดยตรง
จึงควรที่ภาครัฐจะต้องเข้ามาดูแลปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกในปี 2566 ไม่ว่าจะเป็นการรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทไม่ให้มีความผันผวนเร็วเกินกว่าประเทศคู่ค้าสำคัญ การยึดนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดเงินเฟ้ออย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่สร้างแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การตรึงราคาพลังงานในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมัน-ก๊าซหุงต้ม โดยคำนึงถึงภาระของกองทุนน้ำมันฯ และการดูแลค่าไฟฟ้า อย่าให้ภาคอุตสาหกรรมเป็นผู้รับภาระมากกว่าภาคครัวเรือน