ตามติดเศรษฐกิจไทย ไปกับ แบงก์ชาติ

ติดตามเศรษฐกิจไทย
คอลัมน์ : ร่วมด้วยช่วยคิด
ผู้เขียน : นิธิสาร พงศ์ปิยะไพบูลย์
ธนาคารแห่งประเทศไทย

ท่านผู้อ่านที่ติดตามข่าวเศรษฐกิจคงทราบว่าเศรษฐกิจไทยในภาพรวมฟื้นตัวมาที่ระดับก่อนโควิดแล้วในต้นปี 2566 นี้ จากสื่อต่าง ๆ ที่อ้างถึงข้อมูลแบงก์ชาติ อย่างไรก็ดี หากเราอยากทราบข้อมูลเศรษฐกิจจากแบงก์ชาติโดยตรงจะติดตามได้อย่างไร วันนี้ผมจึงขอชวนทุกท่านมาติดตามข้อมูลเศรษฐกิจไทยไปกับแบงก์ชาติและหน่วยงานอื่น ๆ กันครับ

ตามปกติแล้วข้อมูลเศรษฐกิจจะล่าช้า 1 เดือน เพราะต้องใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลก่อนแถลงข่าวในเดือนถัดมา เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม จะแถลงข้อมูลผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเดือน ม.ค. 66 ในเดือน ก.พ. 66 เป็นต้น ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบแต่ละด้านจะทยอยแถลงข้อมูลออกมา

และแบงก์ชาติจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเพื่อประมวลให้เห็นภาพรวมของเศรษฐกิจไทย ก่อนแถลงข่าวภาวะเศรษฐกิจในวันทำการสุดท้ายของทุกเดือน ผ่านทาง Facebook Live และเผยแพร่ข้อมูลทั้งหมดทาง www.bot.or.th

ข้อมูลในการแถลงข่าวเศรษฐกิจรายเดือนมีทั้งที่จัดทำโดยหน่วยงานอื่นและที่แบงก์ชาติจัดทำเอง ข้อมูลสำคัญที่แบงก์ชาติจัดทำ อาทิ ดัชนีการบริโภคภาคเอกชน

ซึ่งสะท้อนภาวะการบริโภคภาพรวมของประเทศ เช่น สินค้าคงทน สินค้าอุปโภคบริโภค ปริมาณการใช้น้ำมันและไฟฟ้า รวมถึงการใช้จ่ายในหมวดบริการ หรือข้อมูลดุลบัญชีเดินสะพัด (current account) ซึ่งเป็นมูลค่าสุทธิของการส่งออกนำเข้าทั้งในด้านสินค้าและบริการ

โดยแบงก์ชาตินำข้อมูลส่งออกนำเข้าสินค้าจากกรมศุลกากรมาปรับปรุงตามหลักดุลการชำระเงินเพื่อจัดทำเป็นดุลการค้า และนำข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวและค่าใช้จ่าย รวมถึงข้อมูลอื่น ๆ มาจัดทำเป็นดุลบริการ รายได้ และเงินโอน ซึ่งทั้ง 2 ส่วนจะรวมกันเป็นดุลบัญชีเดินสะพัดนั่นเอง

จากข้อมูลล่าสุดเดือน ธ.ค. 65 พบว่า ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง (ทั้ง Q4/65 ขยายตัว 5.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน) และดุลบัญชีเดินสะพัดเดือน ธ.ค. 65 กลับมาเป็นบวกแล้วที่ 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

จากดุลการค้าที่เกินดุลเพิ่มขึ้น และรายได้ภาคการท่องเที่ยวในดุลบริการ ที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ตามการเปิดประเทศของจีน โดยล่าสุดแบงก์ชาติคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเป็น 25.5 ล้านคน และ 34 ล้านคน ในปี’66 และปี’67 ตามลำดับ

เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจรายเดือนเป็นข้อมูลจริงที่เกิดขึ้นในอดีต เพื่อให้มองภาพเศรษฐกิจไปข้างหน้าได้ชัดเจนขึ้น แบงก์ชาติจึงได้จัดทำข้อมูลการสำรวจแนวโน้มจากภาคธุรกิจเอกชน ที่สำคัญคือ ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (Business Sentiment Index : BSI)

ซึ่งเป็นการสำรวจภาวะเดือนล่าสุดและแนวโน้มใน 3 เดือนข้างหน้า จากธุรกิจประมาณ 500 รายต่อเดือน โดยมีองค์ประกอบคล้ายคลึงกับดัชนี Purchasing Managers’ Index (PMI) ในต่างประเทศ เช่น คำสั่งซื้อ การผลิต การจ้างงาน

ทั้งนี้ ข้อดีของ BSI คือความเร็ว โดยข้อมูล BSI จะเผยแพร่ในวันทำการแรกของเดือนถัดไปทันที เช่น ข้อมูล BSI เดือน ม.ค. 66 เผยแพร่ในวันที่ 1 ก.พ. 66 ซึ่งดัชนี BSI ใน 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 56.5 เพิ่มขึ้นติดต่อกันมาสามเดือนแล้ว สะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นชัดเจนในมุมมองของภาคธุรกิจ

ข้อมูลเงินเฟ้อของไทยเผยแพร่เร็วเช่นกัน โดยกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้จัดทำและเผยแพร่ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนถัดไป เช่น เงินเฟ้อทั่วไปเดือน ม.ค. 66 เผยแพร่เมื่อ 6 ก.พ. 66 โดยอยู่ที่ 5.02% ซึ่งเงินเฟ้อลดลงต่อเนื่องหลังจากผ่านจุดสูงสุดที่ 7.86% ใน
เดือน ส.ค. 65 และคาดว่าจะกลับสู่กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ 1-3% ได้ในปลายปี’66

สำหรับข้อมูลรายไตรมาสที่สำคัญมาก คือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP ซึ่งมีสภาพัฒน์เป็นผู้จัดทำอย่างเป็นทางการ โดย GDP คือมูลค่าเพิ่มของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งใช้เวลาจัดทำนานประมาณหนึ่งเดือนครึ่งหลังจากสิ้นไตรมาส

โดยปกติสภาพัฒน์จะ
เผยแพร่ข้อมูล GDP ของไตรมาสที่ผ่านมา ประมาณช่วงสัปดาห์ที่สามของเดือน (GDP ไตรมาส 4/65 จะเผยแพร่ 17 ก.พ. 66) พร้อมกันนี้ สภาพัฒน์จะเผยแพร่ข้อมูลประมาณการอัตราขยายตัวของ GDP ในปีนี้และปีหน้าด้วย

ประมาณการอัตราการขยายตัวของ GDP นี่เองจะถูกเรียกแบบย่อ ๆ ในข่าวเศรษฐกิจว่า “GDP” ซึ่งหน่วยงานภาครัฐและสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจแต่ละแห่งจะจัดทำประมาณการ GDP ของตนเอง และปรับปรุงตัวเลขเป็นระยะตามข้อมูลใหม่ที่เข้ามา ตัวเลขประมาณการ GDP จึงแตกต่างกันได้ แต่ข้อมูลจริงของ GDP ทางสภาพัฒน์เป็นผู้จัดทำ

สำหรับแบงก์ชาติจะเผยแพร่ประมาณการ GDP ใหม่ พร้อมกับผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งสุดท้ายของแต่ละไตรมาส (ครั้งถัดไปคือ 29 มี.ค. 66) โดย GDP ปี’66 น่าจะปรับเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 3.7% ซึ่งคาดไว้
เมื่อ พ.ย. 65 ก่อนจีนเปิดประเทศ

แบงก์ชาติได้ติดตามภาวะเศรษฐกิจอย่างรอบด้านและพยายามประมาณการเศรษฐกิจไปข้างหน้าให้ใกล้เคียงมากที่สุด รวมถึงเผยแพร่ข้อมูลประมาณการ GDP และเงินเฟ้อให้สาธารณชนได้รับทราบ เพื่อใช้ปรับตัวและวางแผนในอนาคตได้


อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในปีนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทุกท่านจึงควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับตัวได้อย่างทันท่วงทีหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปครับ