บทบรรณาธิการ : ต้องแยกแยะจีนเทา-จีนขาว

ธงชาติจีน
Photo by SAUL LOEB / AFP
คอลัมน์ : บทบรรณาธิการ

การปรากฏตัวขึ้นของ “จีนเทา” ได้สร้างความหวาดกลัวและความกังวลให้กับสังคมไทยในข้อที่ว่า จีนเทามีเครือข่ายเส้นสายสัมพันธ์โยงใยผู้มีอำนาจในบ้านเมืองให้เอื้อประโยชน์ หรือปกป้องหรือคุ้มครองให้มีการดำเนินธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นสถานบันเทิง ยาเสพติด บ่อนการพนัน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ ไปจนกระทั่งถึงการลักลอบนำคนเข้า-ออกประเทศ สวมบัตรเปลี่ยนสัญชาติ หาสถานที่พักพิง

โดยการออกมาเปิดโปงกลุ่มจีนเทาของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จัดเป็นยอดของภูเขาน้ำแข็ง ด้วยเหตุที่ว่า ปรากฏการณ์จีนเทาไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในเมืองไทย แต่เป็นการดำเนินการต่อเนื่อง จากผลสำรวจที่เผยแพร่ออกมาพบว่า ประเทศไทยติด 1 ใน 5 ของสถานที่ที่จีนเทานิยมชมชอบที่จะเข้ามาทำมาหากิน

เหตุเพราะ หนึ่ง ความเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สอง ระบบการค้า การไหลเข้าออกของเงินทุนเป็นไปอย่างเสรี สาม การมีภูมิศาสตร์ที่แวดล้อมไปกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีแนวชายแดนติดต่อกับประเทศจีน รวมไปถึงความมีอิทธิพลของจีน ที่เหนือกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่มีระบอบการปกครองแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

สี่ การผสมกลมกลืนระหว่างคนที่มีเชื้อสายจีนกับคนไทยที่มีมาเนิ่นนานจนสามารถเป็นเนื้อเดียวกัน ห้า การเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวจีนที่หลั่งไหลกันเข้ามาเที่ยว และหก ที่สำคัญที่สุดก็คือ การคอร์รัปชั่นที่ลุกลามใหญ่โตไปทั่วทุกวงการ ชนิดที่เรียกกันว่า เงินซื้อได้ ปรากฏให้เห็นเด่นชัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ผู้ถือกฎหมาย

จนไม่เป็นที่แปลกใจเลยว่า ทำไมหลาย ๆ แก๊งใต้ดินของจีนเทาจึงเข้ามาในประเทศไทย สอดรับกับทั้งผู้ที่อยู่เดิมและผู้ที่เข้ามาใหม่ ในลักษณะของการส่งต่อหรือขยายเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมาย ด้วยการอาศัยช่องทางการเข้าประเทศผ่านทางมูลนิธิ หรือสมาคมการค้า เพื่อรับรองการขอวีซ่าเข้าประเทศ การจัดตั้งบริษัท-ห้างหุ้นส่วนในลักณะของการใช้ “นอมินี” ที่เป็นคนไทย การเข้ามาในลักษณะของโรงเรียนสอนภาษา

ทว่าการเข้ามาดำเนินธุรกิจการค้าของคนจีน มิใช่มีแต่กลุ่มจีนเทาเท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มนักลงทุน-นักธุรกิจชาวจีน-ชาวจีน หรืออาจเรียกได้ว่า กลุ่มจีนขาว ที่เข้ามาประกอบสัมมาอาชีพอย่างถูกต้องตามกฎหมายอีกมาก โดยกลุ่มบุคคลเหล่านี้ต่างก็เข้ามาตั้งบริษัทและมีการรวมตัวกันในลักษณะของตระกูลแซ่ หรือตามการประกอบอาชีพ-การค้าขาย ทั้งในรูปของมูลนิธิ-สมาคมเช่นกัน

จึงควรที่ผู้มีหน้าที่ที่รับผิดชอบจักต้องเร่งตรวจสอบมูลนิธิ สมาคม ห้างร้าน บริษัท เพื่อหาผู้กระทำผิดกฎหมายและดำเนินคดี อันเป็นการขจัด “จีนเทา” ให้หมดไปจากประเทศ พร้อมกับปิดช่องทางช่องโหว่ทางกฎหมาย ซึ่งจะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดธุรกิจของกลุ่มจีนเทาขึ้นมาอีก

ในส่วนของ “จีนขาว” ที่ดำเนินสัมมาอาชีพประกอบการโดยสุจริตก็สมควรที่จะยกย่องและขจัดปัญหาอุปสรรคทางการค้า-การลงทุนในอันที่จะเอื้ออำนวยประโยชน์ต่อธุรกิจ ร่วมกันสร้างประโยชน์สืบต่อไป