“วินิจ เลิศรัตนชัย” ศึกแดงเดือด ทำได้ครั้งเดียวในชีวิต เชื่อเป็น Soft Power ประเทศได้

วินิจ เลิศรัตนชัย เตรียมพร้อม 100% สำหรับ THE MATCH ศึกแดงเดือด ที่สนามราชมังฯ 12 ก.ค. 65 มั่นใจเกมนี้ช่วยสร้าง soft power

วันที่ 25 พฤษภาคม 2565 นายวินิจ เลิศรัตนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรชแอร์ เฟสติวัล จำกัด เปิดเผยในงานสัมมนา “New Chapter เศรษฐกิจไทย” ที่จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ถึงวิธีการดำเนินธุรกิจแบบ think big ล่าสุดกับ THE MATCH เกมแห่งศักดิ์ศรี “หงส์แดง-ปีศาจแดง” ว่า

THE MATCH เป็นการพบกันของทีมลิเวอร์พูล กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่เอเชียเป็นครั้งแรก และครั้งที่ 2 ของโลก ที่ทั้ง 2 ทีมแข่งขันกันนอกประเทศอังกฤษ ซึ่งการที่คู่นี้พบกันมีความหมายมาก ในรอบ 100 ปี ชีวิตหนึ่งทำได้ครั้งเดียว จากนั้นไม่รู้ใครจะได้ทำอีก ดังนั้น จึงยอมที่จะเสี่ยง และยอมที่จะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น แม้เรื่องนี้จะมีความเสี่ยงมหาศาล ขณะเดียวกันถ้าเรารอฟ้าเปิดแล้วค่อยดีล ก็ไม่มีทางเกิดขึ้น หรือรอให้โควิดหมดแล้วค่อยเจรจา คนอื่นก็เอาไปหมด

วินิจ เลิศรัตนชัย
วินิจ เลิศรัตนชัย

“ผมคิดว่าเมื่อถึงเวลาถ้าเสี่ยงแล้วจบก็ต้องจบ ถ้าจะมาประคองว่าทุกอย่างต้องเซฟก่อน หาสปอนเซอร์ก่อนแล้วค่อยเดิน ก็ไม่ต้องทำ” วินิจกล่าว

มูลค่าของโปรเจ็กต์ THE MATCH ไม่ได้เป็นเกมฟุตบอลแค่เกมเดียว แต่เป็นเกมที่สร้างปรากฏการณ์หลายเรื่อง อย่างเช่น บ้านเรากำลังจะรีสตาร์ต ประเทศกำลังจะเดินไปข้างหน้า เรากำลังจะสร้างความมั่นใจ กำลังจะมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะทำให้นักท่องเที่ยวกลับมา GDP ของประเทศที่เคย 30% ปัจจุบันเหลือแค่ 3-4% เราคิดเผื่อไปถึงสิ่งเหล่านี้ที่จะได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย

วินิจ เลิศรัตนชัย

โดยการเตรียมการสำหรับศึกแดงเดือดครั้งนี้ ที่ตะมีผู้เล่นระดับบิ๊กเนม, CEO, owner รวมถึงแขก วี.ไอ.พี.ของทั้งสองสโมสรเดินทางมายังประเทศไทย ทางเฟรชแอร์ฯเตรียมการตั้งแต่เรื่อง security การกินอยู่ การนอน รวมถึงทำล็อกเกอร์รูม และ executive lounge ในสนามราชมังคลากีฬาสถานใหม่ เนื่องจากเดิมจุคนได้เพียง 100 คน ก็ต้องสร้างให้สามารถจุคนจำนวน 1,000 คนได้

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของสนามหญ้าที่ต้องมีการปรับปรังใหม่ให้ได้มาตรฐาน ซึ่งทีมงานของทั้ง 2 ทีมได้เดินทางมาตรวจสอบตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564

วินิจเชื่อว่า THE MATCH จะเป็น soft power ให้กับประเทศไทยได้ เพราะนอกจากจะเป็นการโคจรมาพบกันของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกับลิเวอร์พูลแล้ว ยังเป็นครั้งแรกที่เมืองไทยมีการถ่ายทอดสดเกมนี้ไปสู่ต่างประเทศทั่วโลก ซึ่งขณะนี้มีการซื้อลิขสิทธิ์แล้วเกือบ 100 ประเทศทั่วโลก