“อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์” นำทีมผู้เลี้ยงหมูร้องดีเอสไอ รับเป็นคดีพิเศษ กระบวนการลักลอบหมูเถื่อนสร้างความเสียหายให้กับผู้ประกอบการและเกษตรกรไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท
นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม กล่าวว่า ได้นำตัวแทนจากสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรจากจังหวัดต่าง ๆ ประมาณ 50 คน ยื่นหนังสือต่อ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อขอให้ดำเนินคดีอาญากับกลุ่มขบวนการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนที่ติดโรคและสำแดงเอกสารเท็จ ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ผ่านท่าเรือแหลมฉบัง และอื่น ๆ โดยหลบหนีภาษี ทำให้ผู้ประกอบการ เกษตรกร ได้รับผลกระทบอย่างมาก จึงได้มีการรวบรวมหลักฐาน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- ตรวจหวย ใบตรวจหวย ผลรางวัล สลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน 2567
- อย.เปิดชื่ออาหารเสริม พบสารอันตราย ร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต เตรียมดำเนินการตามกฎหมาย
พบว่ามีบริษัทเอกชนร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐ และทางชิปปิ้ง ร่วมกันทำเอกสารสำแดงเท็จในการนำเข้าเนื้อสุกรผิดกฎหมายมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน ซึ่งจากการติดตามข้อมูลมาตลอด 3-4 เดือน ทำให้เห็นว่าปริมาณการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนเฉลี่ย 1,000 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อเดือน มูลค่า 3,000 ล้านบาท และนำไปกระจายให้ตามห้องเย็นในต่างจังหวัด และจำหน่ายให้ผู้บริโภค โดยหมูเถื่อนเหล่านั้นอาจเป็นอาหารที่มีเชื้อโรค ทำให้ผู้บริโภคได้รับอันตรายต่อสุขภาพ จึงได้รวบรวมหลักฐานมาให้ดีเอสไอทำเป็นคดีพิเศษ
เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 65 กองบังคับการปราบปรามผู้บริโภค กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกรมปศุสัตว์ ได้แจ้งข้อหากับบริษัทห้องเย็น ชิปปิ้งของนายทุนรายหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมอายัดเนื้อหมูและชิ้นส่วนที่นำเข้าผิดกฎหมายได้ทั้งหมด 11 ตู้คอนเทนเนอร์ แต่สามารถแจ้งดำเนินคดีได้เพียง 1 ตู้คอนเทนเนอร์ ส่วนตู้คอนเทนเนอร์ที่เหลืออีก 10 ตู้ จะให้ดีเอสไอเข้าไปสอบสวนขยายผล เพื่อสอบสวนให้ถึงผู้กระทำผิดตัวจริง นอกจากนี้ ยังมีอีก 161 ตู้คอนเทนเนอร์ที่ทางกรมศุลกากรได้มีการอายัดของกลางไว้ มูลค่าความเสียหาย 1,000 ล้านบาท ซึ่งเข้าเกณฑ์การเป็นคดีพิเศษ จึงอยากให้ดีเอสไอดำเนินการต่อไป
“เรามีหลักฐานใบเสร็จที่มีการนำเข้าสินค้ามายืนยันจากกรมศุลกากรว่าเป็นอาหารแช่แข็ง ส่งจากประเทศเนเธอร์แลนด์เข้ามาที่ท่าเรือแหลมฉบัง แต่ทางบริษัทชิปปิ้งเข้าไปสำแดงเท็จในระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์ ของกรมศุลกากร ว่าเป็นสินค้าที่มาจากฮ่องกง เป็นเม็ดพลาสติก ซึ่งไม่ได้เสียภาษี และมีต้นทางกับปลายทางไม่ตรงกัน แต่มีนำเข้าในประเทศด้วยระบบกรีนไลน์ โดยไม่ต้องมีการเปิดตู้ตรวจสอบ
โดยปกติถ้าหากเป็นเนื้อสัตว์ต้องเสียภาษี 7 บาทต่อกิโลกรัม มูลค่าประมาณ 175,000 บาทต่อตู้ และต้องมีการขอใบอนุญาตนำเข้าจากทางกรมปศุสัตว์ประมาณ 50,000 บาท รวมค่าใช้จ่ายประมาณ 200,000 กว่าบาท แต่สินค้าหมูเถื่อนที่เข้ามาตอนนี้เป็นการหลบเลี่ยงการเสียภาษี”
สำหรับบุคคลที่เข้าข่ายกระทำความผิดมีนายด่านทั้งหมด 4 ด่าน ได้แก่ ด่านแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ด่านมุกดาหาร จ.มุกดาหาร ด่านสะเดา จ.สงขลา และด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว และมีเจ้าหน้าที่ ข้าราชการไม่ต่ำกว่า 50 คน
นายสัตวแพทย์สุทัศน์ ตั้งธโนปจัย กรรมการสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า ตอนนี้กระบวนการลักลอบหมูเถื่อนสร้างความเสียหายให้กับผู้ประกอบการและเกษตรกรเป็นอย่างมาก มูลค่าประมาณความเสียหายคาดว่าไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท ตอนนี้ต้นทุนการผลิตหมูเป็นเฉลี่ย 85-100 บาท แต่ขายหน้าฟาร์มอยู่ที่ 60-70 บาทต่อกิโลกรัม
ส่วนหมูหน้าเขียงที่มีการชำแหละราคาต้นทุน 140-160 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่หมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้ามามีราคา 34 บาทต่อกิโลกรัม จะเห็นว่าต้นทุนของเกษตรกรสูงกว่า 2 เท่าตัว ตอนนี้คุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ได้มีการดำเนินการอยู่ 11 ตู้คอนเทนเนอร์ และทางกรมศุลกากรแจ้งว่ามีอยู่ 161 ตู้คอนเทนเนอร์ที่มีการอายัดของกลางไว้
พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษกล่าวว่า เบื้องต้นพบว่ามีมูลค่าความเสียหายหลักหมื่นล้าน เป็นหน้าที่ของ DSI ที่จะต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อรับเป็นคดีพิเศษ ดำเนินการในเชิงรุก เพื่อให้เห็นว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง เบื้องต้นหลังจากที่ได้รับฟังข้อมูลเชื่อว่ามีมูลความเป็นจริง ซึ่งก็มีความเกี่ยวเนื่องกับเจ้าหน้าที่รัฐด้วย ก็ได้มีการวางแผนและจะดำเนินเรื่อง ก็จะเร่งดำเนินการเรื่องให้เร็วที่สุด