นักศึกษาแพทย์มหาวิทยาลัยรัฐ ไม่ทำงานใช้ทุน จ่ายค่าปรับ 4 แสนบาท

แพทย์
ภาพประกอบจาก unsplash

แพทย์ขาดแคลน-ลาออก เปิดสัญญาเรียนแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยของรัฐ 22 แห่ง เรียนจบต้องใช้ทุนคืน 3 ปี หากไม่ทำงานใช้ทุนคืน หรือลาออกกลางคันต้องจ่ายค่าปรับ 400,000 บาท 

วันที่ 12 มิถุนายน 2566 จากกระแสเรื่องบุคลากรทางการแพทย์ลาออก เนื่องจากปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะภาระงานที่มากเกินไป จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างแพร่หลายในสังคมออนไลน์ขณะนี้ รวมถึงประเด็นการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นที่พูดถึงมาอย่างยาวนาน จนกระทรวงสาธารณสุขต้องเดินสายเจรจากับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและนอกวงการแพทย์ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว 

สถานการณ์ขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีแพทย์ประมาณ 5-6 หมื่นคน แต่อยู่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเพียง 24,649 คน หรือ 48% แต่ต้องรองรับประชากรในระบบประกันสุขภาพกว่า 45 ล้านคน เทียบเท่าแพทย์ 1 คน ต่อประชากร 2,000 คน ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานสากลที่แพทย์ 3 คนต่อประชากร 1,000 คนอยู่มาก

“สธ.ได้รับจัดสรรแพทย์ปีละประมาณ 1,800 คน มีการลาออกของแพทย์ใช้ทุนปี 1, ปี 2, ปี 3 และหลังใช้ทุนครบ 3 ปี รวมเฉลี่ยปีละ 455 คน สาเหตุที่ลาออกมีทั้งไปศึกษาต่อ ไปทำงานในภาคเอกชน หมดสัญญาชดใช้ทุน รวมถึงภาระงานด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งเมื่อรวมกับแพทย์ที่เกษียณปีละ 150-200 คน จะมีแพทย์ออกจากระบบปีละ 655 คน”

นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า จากการประเมินของ สธ. ระบบสาธารณสุขต้องการแพทย์ 2,055 คน/ปี แต่การผลิตแพทย์ใหม่ซึ่งวางเป้าไว้ประมาณ 3,300 คน/ปี ต่อเนื่อง 10 ปี ตั้งแต่ปี 2561-2570 นั้น ที่ผ่านมามีแพทย์จบการศึกษาประมาณปีละ 2 พันกว่าคนเท่านั้น เนื่องจากการควบคุมคุณภาพทำให้มีนักศึกษาบางส่วนถูกคัดออก หรือใช้เวลาเรียนนานกว่าที่คาด

นอกจากนี้ ในจำนวนแพทย์ใหม่ 2 พันกว่าคน ยังต้องแบ่งไปประจำยังหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กทม. กลาโหม มหาวิทยาลัย ฯลฯ ทำให้มีแพทย์เข้าสู่ รพ. 117 แห่งของ สธ. ในช่วงใช้ทุนหรืออินเทิร์นเฉลี่ย 1,800-2,000 คน/ปี

ขณะเดียวกัน ด้วยนโยบายเน้นแพทย์เฉพาะทาง ส่งผลให้เมื่อใช้ทุนครบ 1 ปี จะมีแพทย์ใช้ทุนจำนวนกว่า 4,000 คน ลางานเพื่อเรียนต่อเฉพาะทาง ทำให้แพทย์ในระบบลดจาก 2.4 หมื่นคน เหลือ 2 หมื่นคน

อีกทั้งยังมีการลาออกและเกษียณ ซึ่งการลาออกของแพทย์ 10 ปีย้อนหลัง (2556-2565) นั้นจากแพทย์บรรจุรวม 19,355 คน แพทย์ใช้ทุนปีแรก ลาออก 226 คน คิดเป็น 1.2% เฉลี่ยปีละ 23 คน, แพทย์ใช้ทุนปีที่ 2 ลาออก 1,875 คน คิดเป็น 9.69% เฉลี่ยปีละ 188 คน, แพทย์ใช้ทุนปีที่ 3 ลาออก 858 คน คิดเป็น 4.4% เฉลี่ยปีละ 86 คน, ส่วนแพทย์ที่ลาออกหลังพ้นภาระชดใช้ทุนมีจำนวน 1,578 คน คิดเป็น 8.1% เฉลี่ยปีละ 158 คน

“เท่ากับเฉลี่ยแต่ละปีมีแพทย์ลาออก 455 คน นอกจากนี้ ยังมีเกษียณปีละ 150-200 คน ทำให้มีแพทย์ลดลงจากทั้ง 2 สาเหตุประมาณปีละ 655 คน”

เส้นทางการเป็นหมอ

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนหลักสูตรแพทยศาสตร์ในประเทศไทย มีทั้งมหาวิทยาลัยรัฐ และมหาวิทยาลัยเอกชน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการเรียนแตกต่างกัน โดยที่มหาวิทยาลัยรัฐจะถูกกว่า เนื่องจากมีเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ขณะที่มหาวิทยาลัยเอกชน ผู้เรียนต้องจ่ายเองทั้งหมด โดยมีระยะเวลาเรียน 6 ปี 

เพจเฟซบุ๊กdek-d’s tcas สอบติดไปด้วยกัน ให้ข้อมูลว่า แพทยศาสตร์เป็นหลักสูตรที่ใช้เวลาเรียน 6 ปี โดยไม่มีแยกสาขาในระดับปริญญาตรี ทุกคนจะได้เรียนเหมือนกันหมด เมื่อจบออกมาจะเป็นแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป สามารถรักษาผู้ป่วยทั่วไปได้ ซึ่งในระยะเวลานี้จะได้ไปเป็นหมอตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อเป็นการใช้ทุน และหลังจากใช้ทุน หากใครต้องการเรียนต่อเฉพาะทางก็สามารถเรียนต่อเพิ่มเติมเพื่อเป็นหมอเฉพาะทางได้ หรือถ้าต้องการเรียนต่อเฉพาะทางระหว่างใช้ทุนก็สามารถลาเรียนและกลับมาใช้ทุนต่อก็ได้เช่นกัน

เรียนจบทำไมต้องใช้ทุน?

การเรียนแพทยศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยของรัฐเมื่อจบออกไปต้องใช้ทุน เนื่องจากการลงทุนผลิตบุคลากรด้านการแพทย์นั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ซึ่งรัฐก็ได้ช่วยสนับสนุน ทำให้นักศึกษาแพทย์ในมหาวิทยาลัยรัฐได้เรียนแพทย์ในราคาที่ไม่แพงเกินไป แต่มีเงื่อนไขว่าเรียนจบแล้วก็ต้องทำงานให้รัฐ โดยการไปเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลชุมชนของจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อชดใช้ทุนเป็นระยะเวลา 3 ปี 

แต่ถ้าหากไม่ใช้ทุนคืน หรือลาออก จะโดนปรับสูงสุด 400,000 บาท ซึ่งผู้ที่เรียนแพทยศาสตร์จะต้องรู้ล่วงหน้า หรือถ้าหากเรียนจบแล้ววางแผนหางานทำเองตามโรงพยาบาล หรือคลินิกต่าง ๆ ก็ทำได้ แต่มีเงื่อนไขเรื่องค่าปรับที่ต้องจ่ายให้มหาวิทยาลัยเช่นกัน ซึ่งจะมีการเซ็นสัญญาตั้งแต่เข้าเรียนชั้นปี 1 

ซึ่งการใช้ทุนคืนไม่ใช่การทำงานให้ฟรี จะได้รับเงินเดือนและสวัสดิการต่าง ๆ แต่ไม่ได้เลือกสถานที่โรงพยาบาลเอง เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขจะกำหนดให้ แต่สามารถเลือกจังหวัดเองได้ หากจังหวัดนั้นจำนวนผู้สมัครน้อยก็ลงไปปฏิบัติงานได้เลย แต่ถ้าหากมีผู้สมัครมากก็ต้องใช้วิธีการจับสลาก 

เปิดสัญญาเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยรัฐ

โรงเรียนแพทย์ในประเทศที่แพทยสภารับรองมีทั้งหมด 26 แห่ง แบ่งเป็นโรงเรียนผลิตแพทย์ที่เป็นของรัฐบาล 22 แห่ง และโรงเรียนผลิตแพทย์เอกชน 4 แห่ง ดังนี้

โรงเรียนแพทย์รัฐบาล

    1. คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
    2. คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    3. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
    4. คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
    5. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
    6. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
    7. วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า
    8. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
    9. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
    10. คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช
    11. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
    12. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
    13. สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
    14. วิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
    15. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
    16. สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
    17. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์
    18. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
    19. สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
    20. คณะแพทยศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
    21. วิทยาลัยแพทยศาสตร์ศรีสวางควัฒน ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
    22. คณะแพทยศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก

โรงเรียนแพทย์เอกชน

    1. วิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
    2. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม
    3. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
    4. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น

ตัวอย่างใจความสำคัญของสัญญา นิสิต/นักศึกษาที่เข้าเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยรัฐ ดังนี้ 

ข้อมูลจากเว็บไซต์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้รายละเอียดว่า สัญญาการเป็นนิสิตเพื่อศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ มีกฎระเบียบที่สำคัญประการหนึ่งคือ เป็นระเบียบการชดใช้ทุนของนิสิตแพทย์เมื่อจบการศึกษา สำหรับรายละเอียดที่สำคัญของการปฏิบัติงานชดใช้ทุน เมื่อแพทย์จบการศึกษา และต้องไปปฏิบัติงานชดใช้ทุน (บางส่วนของสัญญา) มีสาระสำคัญดังนี้ 

ก.นิสิตแพทย์ทุกคนต้องทำสัญญากับมหาวิทยาลัยเมื่อแรกเข้า โดยยินยอมปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ ข้อบังคับของสัญญานั้น

ข.เมื่อสำเร็จการศึกษา ต้องยินยอมเข้ารับราชการ หรือทำงานจนครบกำหนดระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี และไม่นับระยะเวลาระหว่างเข้ารับการศึกษาอบรมเพิ่มเติมรวมคำนวณเข้าด้วย

ค.หากนิสิตแพทย์ไม่เข้ารับราชการ หรือ ทำงานตามที่คณะกรรมการพิจารณาจัดสรรนักศึกษาแพทย์มอบหมาย หรือไม่ปฏิบัติงานชดใช้ทุนตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด นิสิตแพทย์ต้องยินยอมรับผิด ชดใช้เงินให้แก่มหาวิทยาลัยเป็นจำนวนเงิน 400,000 บาท (สี่แสนบาทถ้วน) ในทันที โดยที่มหาวิทยาลัยมิต้องทวงถาม และมหาวิทยาลัยมีสิทธิ์คิดดอกเบี้ยตามกฎหมายนับตั้งแต่วันที่ผิดสัญญา ทั้งนี้ ถ้านิสิตแพทย์รับราชการ หรือทำงานไม่ครบกำหนดเวลา ต้องชำระเงินให้แก่มหาวิทยาลัยตามระยะเวลาที่ขาด โดยคิดคำนวณลดลงตามส่วนเฉลี่ยจากจำนวนเงินที่ต้องชดใช้

เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ในสัญญาระบุว่า หากไม่รับราชการหลังเรียนจบ จะต้องรับผิดชอบเป็นจำนวนเงิน 400,000 บาทถ้วน ภายในระยะเวลาที่มหาวิทยาลัยกำหนด หรือรับราชการไม่ครบกำหนดก็ต้องชดใช้เงินให้แก่มหาวิทยาลัยตามระยะเวลาที่ขาด โดยคิดคำนวณลดลงตามส่วนเฉลี่ยจากจำนวนเงินที่ต้องชดใช้ 

ขณะที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ระบุว่า หากไม่ใช้ทุนคืนก็ต้องรับผิดชอบจ่ายค่าปรับ 400,000 บาท ภายในกำหนดที่มหาวิทยาลัยเรียกร้องให้ชำระ โดยที่ต้องชดใช้ทุนให้หมดในคราวเดียว ไม่อนุญาตให้มีการผ่อนชำระ