
คลังชงทบทวนมาตรการเว้น-ลดหย่อนภาษี หนุนเก็บรายได้เพิ่ม ลดความเสี่ยงภาระการคลังระยะ 5 ปีข้างหน้า รองรับดอกเบี้ยขาขึ้น-ดูแลสวัสดิการผู้สูงอายุตามแนวโน้มสังคมสูงวัย พร้อมทยอยลดการขาดดุลงบฯ ให้อยู่ระดับไม่เกิน 3% ต่อจีดีพี
วันที่ 3 ตุลาคม 2565 แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ทำรายงานความเสี่ยงทางการคลัง ล่าสุดเมื่อเดือน ส.ค. 2565 ที่ผ่านมา โดยพบว่าสัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อจีดีพียังคงลดลงต่อเนื่องจาก 14.64% ในปีงบประมาณ 2564 ลดลงเหลือ 13.31% ในปีงบประมาณ 2569
ดังนั้นรัฐบาลจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการพิจารณาทบทวนมาตรการยกเว้นภาษีและมาตรการลดหย่อนต่าง ๆ ที่ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ให้มีเท่าที่จำเป็น ควบคู่ไปกับพิจารณาผลักดันแนวทางในการเพิ่มความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจัง ทั้งในส่วนของการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บ การขยายฐานภาษีให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงขยายการจัดเก็บภาษีให้ครอบคลุมถึงฐานภาษีใหม่ ๆ ด้วย
ทั้งนี้ ภาษีฐานเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม ถือเป็นฐานรายได้หลักที่สำคัญของรัฐบาล แต่มีสัดส่วนต่อจีดีพีลดลงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศแล้ว อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มและการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของประเทศไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น รัฐบาลจึงควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาเพิ่มความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของภาษีฐานเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยคำนึงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและภาระของภาคเอกชนและประชาชนประกอบด้วย
5 ปีข้างหน้ารายจ่ายดอกเบี้ยต่องบประมาณรัฐ มีแนวโน้มสูงขึ้น
นอกจากนี้ สศค.ยังได้มองถึงความเสี่ยงทางการคลังในระยะ 5 ปีข้างหน้าว่า รายจ่ายดอกเบี้ย ต่องบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น โดยในปีงบประมาณ 2564 อยู่ที่ 5.92% ของงบประมาณรายจ่าย คาดว่าจะปรับสูงขึ้นไปอยู่ที่ 9.08% ของงบประมาณรายจ่ายในปี 2569 ตามแนวโน้มของภาระหนี้ที่ปรับสูงขึ้น และแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น
“รัฐบาลยังมีภาระรายจ่ายสวัสดิการที่จ่ายให้แก่ทั้งข้าราชการและประชาชนที่ระดับสูง ตามแนวโน้มของการเข้าสู่สังคมสูงอายุ โดยในปีงบประมาณ 2564 รายจ่ายสวัสดิการของข้าราชการ อยู่ที่ 4.49 แสนล้านบาท คิดเป็น 13.68% ของงบประมาณรายจ่าย ส่วนสวัสดิการที่รัฐบาลจัดให้กับประชาชนอยู่ที่ 4.01 แสนล้านบาท คิดเป็น 12.22% ของงบประมาณรายจ่าย”
ส่วนภาระผูกผันที่มาจากการดำเนินโครงการตามนโยบายของรัฐ ตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง โดยเป็นภาระรายจ่ายที่รัฐขอให้หน่วยงานของรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่คือสถาบันการเงินของรัฐให้ออกเงินดำเนินโครงการของรัฐไปก่อน หลังจากนั้นรัฐบาลจะทยอยชำระคืนภายหลัง โดยในปีงบประมาณ 2564 ภาระรายตามมาตรา 28 อยู่ที่ 9.53 แสนล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีความเสี่ยงทางการคลังในอนาคต จากปัญหาความยั่งยืนในระยะยาวของกองทุนประกันสังคม ซึ่งได้แรงกดดันจากการแพร่ระบาดของโควิดในช่วงที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลตัดสินใจลดเงินจ่ายสะสมในกองทุนของสมาชิก เพื่อลดภาระในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิดซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของประชาชน และปัจจุบันรัฐบาลยังมีภาระค้างจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ราว 6 หมื่นล้านบาท รวมถึงภาระในกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
“กระทรวงการคลังได้กำหนดแผนการคลังระยะปานกลาง (Medium Term Fiscal Framework) ปี 2566-2569 ที่กำหนดให้รัฐบาลยังดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลอย่างต่อเนื่องตามความจำเป็นในการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากวิกฤตโควิดคลี่คลายลง แต่มีการส่งสัญญาณการทยอยลดสัดส่วนขาดดุลต่อจีดีพีลงใน 5 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการรักษาวินัยและเสริมสร้างความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญในการทยอยปรับลดสัดส่วนการขาดดุลงบประมาณต่อจีดีพี ให้อยู่ในระดับที่ประมาณไม่เกิน 3% ซึ่งเป็นระดับที่เอื้อต่อการควบคุมระดับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีให้ลดลงต่อไป”
- คลังยันไม่เบรกปรับภาษีที่ดิน แนะ กทม.ส่งกฤษฎีกาตีความ
- ปลูกกล้วยกลางกรุง คลังยันเก็บภาษีที่ดินมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ย้ำ กทม.ปรับขึ้นอัตราได้เอง
- ชัชชาติตอบปมกฎหมายที่ดิน กระบวนการยังอีกยาวไกล
- ไม่ใช้ประโยชน์ที่ดิน 10 ปี ถูกยึดคืนจริงหรือไม่ ? รองโฆษกรัฐบาลแจงข้อกฎหมาย
- เศรษฐีแปลงย่อยแห่ขายที่ดิน 3-10 ไร่ ตั้งราคาสูงกว่าตลาดเผื่อฟลุก