บล.กสิกรไทย ชี้ควบรวม ทรู-ดีแทค ตัวเร่ง เอไอเอส ปิดดีลซื้อ 3BB

บล.กสิกรไทย วิเคราะห์ ทรู ดีแทค

นักวิเคราะห์ชี้ ควบรวม ทรู-ดีแทค ผงาดขึ้นเบอร์ 1 ทันที ทั้งในแง่ฐานลูกค้าและรายได้ แต่กำไรยังเป็นรองคู่แข่ง 3 เท่า ทั้งเป็นตัวเร่งให้ “เอไอเอส” ปิดดีลซื้อ 3BB

วันที่ 24 ตุลาคม 2565 นายพิสุทธิ์ งามวิจิตวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังจากบอร์ด กสทช.ให้ TRUE และ DTAC ควบรวมกิจการพร้อมกำหนดเงื่อนไขปฏิบัติตามเพื่อเยียวยาและรักษาผลประโยชน์ของผู้ใช้บริการนั้น

ขั้นตอนต่อไปทาง TRUE และ DTAC จะแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อให้เตรียมตัวประมาณ 1-2 สัปดาห์ ถึงกระบวนการทำคำเสนอซื้อ (Tender Offer) โดยใช้เวลาประมาณ 1 เดือน หรือคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน พ.ย.-ธ.ค.

ซึ่งระหว่างทางก็จะมีการฟ้องศาล โดยศาลน่าจะใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ จะรู้ว่าคุ้มครองหรือไม่คุ้มครอง ดังนั้น ประเด็นของศาลจะเสร็จก่อนการเริ่มซื้อหุ้น

ทั้งนี้ หากศาลไม่คุ้มครอง การทำเทนเดอร์หุ้นจะเกิดขึ้นและมีจัดประชุมร่วมกันระหว่าง TRUE และ DTAC โดยมีกระบวนการแลกเปลี่ยนหุ้นเป็นบริษัทใหม่ ซึ่งอาจใช้เวลาสักระยะ แต่ดูแนวโน้มแล้วคาดว่าน่าจะเสร็จประมาณต้นปี 2566

คาดราคา Tender Offer เปลี่ยนมาเป็นแนวรับ พร้อม 3 ปัจจัย ชี้หุ้นวิ่งขึ้นต่อหรือไม่

นักวิเคราะห์คาดว่าราคาเสนอซื้อของ DTAC อยู่ที่ 47.76 บาท และ TRUE อยู่ที่ 5.09 บาท โดยในช่วงกระบวนการควบรวมคาดว่าราคาหุ้นทั้งสองบริษัทจะวิ่งขึ้นเกินราคาเทนเดอร์ ทำให้ราคาเทนเดอร์จะเปลี่ยนจากแนวต้านมาเป็นแนวรับ และหุ้นจะวิ่งขึ้นต่อจากนี้หรือไม่ ขึ้นอยู่ที่ 3 ปัจจัยคือ

1.การฟ้องร้องที่จะเกิดขึ้น ใครฟ้อง ถ้าไม่ใช่พรรคเพื่อไทย (มีโอกาสเป็นรัฐบาลสมัยหน้า) หรือเอไอเอส (สะท้อนผ่านกัลฟ์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่) คงไม่มีนัย 2.ขึ้นอยู่กับคำตัดสินของศาล และ 3.ขึ้นอยู่กับการประกาศมูลค่าของ synergy value

“เราคงมุมมองเชิงบวกต่อการควบรวมของทั้งสองบริษัท จากการสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านการลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ เนื่องจากการควบรวมทำให้จำนวนผู้เล่นลดลง และมาตรการเยียวยาที่ออกมาไม่ได้เข้มข้นเกินไป อยู่ในวิสัยที่ทำได้ โดยหลัก ๆ คือ ควบคุมเรื่องราคา, คุณภาพโครงข่าย, ผู้ประกอบการรายใหม่ เช่น MVNO เข้ามาในตลาดได้โดยง่าย, บังคับให้มีนวัตกรรม เป็นต้น ถือว่าไม่ได้ทำลายมูลค่าของการควบรวม

โดยประเด็นควบรวมจริง ๆ มองถึง 4 ประเด็นสำคัญคือ 1.รายได้จะเพิ่มเท่าไร 2.ค่าใช้จ่ายจะลดเท่าไร 3.เงินลงทุนจะลดเท่าไร และ 4.ตลาดจะให้มูลค่าของหุ้นกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นเท่าไร”

คำแนะนำถือหุ้น ทรู-ดีแทค หลังจากนี้

ประเมินราคาเป้าหมายหุ้น DTAC ที่รวมมูลค่าเพิ่มแล้วจะอยู่ที่ 58.43 บาท และ TRUE อยู่ที่ 6.28 บาท แนะนำซื้อทั้ง 2 บริษัท แต่ชอบ DTAC มากกว่า จังหวะนี้ถ้าคนไม่มีหุ้นเลยแนะนำซื้อ DTAC จังหวะราคาต่ำกว่าราคาเทนเดอร์ แต่ถ้าราคาทั้ง 2 บริษัทวิ่งทะลุราคาเทนเดอร์ไป 5% ไม่จำเป็นต้องตาม ให้รอ เพราะเชื่อว่ายังมีข่าวร้ายที่รออยู่ข้างหน้า

ส่วนคนที่ถือหุ้น TRUE ตั้งแต่ราคา 4 บาท และ DTAC ราคา 40 บาทตามคำแนะนำ ซึ่งบวกอยู่กว่า 10 บาทนั้น ต้องหาจังหวะขายออกเพื่อรอเก็งกำไรรอบใหม่ คาดการณ์กำไรสุทธิ DTAC ปี’65 จะอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท และ TRUE ขาดทุนประมาณ 4,000 ล้านบาท

“เนื่องจากเป็น Event Play ดังนั้น นักลงทุนควรจะเล่นรอบมากกว่าซื้อและถือ และดีลควบรวม TRUE และ DTAC สำเร็จจะเป็นตัวปฏิกิริยาเร่งให้ ADVANC ตัดสินใจเข้าซื้อกิจการ 3BB และ JASIF แม้ว่าจะไม่ได้รับส่วนลดค่าเช่า

โดยมี 3 ปัจจัยคือ 1.ตัวมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ของโครงการยังเป็นบวกอยู่ 2.กัลฟ์เป็นเจ้าของไม่ใช่ Singtel 3.เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้น ถ้าเป็นไปในแนวทางนี้หุ้น JAS และ JASIF ที่ลงมาก่อนหน้านั้นจะเด้งแรง”

นายพิสุทธิ์กล่าวต่อว่า โดยฐานลูกค้าภายหลังการควบรวมบริษัทใหม่จะมีอยู่จำนวน 50 ล้านคน เดิมฐานลูกค้า TRUE อยู่ที่ 30 ล้านคน และ DTAC มีอยู่ 20 ล้านคน ในขณะที่ฐานลูกค้า ADVANC มีจำนวน 40 ล้านคน ทำให้จะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ทันที ทั้งในแง่ของฐานลูกค้าและรายได้

แต่ในเชิงของกำไรยังต่ำกว่าเอไอเอส 3 เท่า ประเมินว่ากำไรของบริษัทใหม่จะอยู่ประมาณปีละ 10,000 ล้านบาท ในขณะที่กำไรเอไอเอสอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท ซึ่งกว่าจะบันทึกกำไรในงบการเงิน ต้องผ่านกระบวนการควบรวมกิจการแล้วเสร็จ ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้เวลา 1-2 ปี กว่าจะเริ่มเห็นกำไร