
แผนยุทธศาสตร์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระหว่างปี 2568-2570 ประกาศนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบนิเวศของตลาดทุนไทย (Digital Securities Ecosystem) โดยจะนำ “บล็อกเชน (Blockchain)” มาใช้แก้ Pain Point ในตลาดทุน จะเป็นอย่างไรนั้น ล่าสุด “จอมขวัญ คงสกุล” รองเลขาธิการ ก.ล.ต. ได้อัพเดตเรื่องนี้ให้ฟังว่า ทาง ก.ล.ต.มีแผน
Pain Point ของตลาดทุน
“จอมขวัญ” เริ่มต้นว่า Pain Point ของตลาดทุนในปัจจุบัน เกิดจากกระบวนการในตลาดทุน ได้แก่ 1.Unnecessarily Complex คือ ผู้ประกอบการมักจะตั้งต้นจากระบบเดิม ไม่มี Redesign เมื่อมีพัฒนาการใหม่ ๆ ทุกคนมักจะปรับปรุงระบบเดิมทับไปเรื่อย ๆ ทำให้ระบบมีความซับซ้อน เรียกว่าเป็นการแก้ทำแบบ “ปะผุ” 2.Multiple Version of Truth คือ ฐานข้อมูลแตกต่างและไม่เชื่อมโยงกัน
3.Delay Clearing & Settlement คือ เวลาจองซื้อหุ้นกู้ในตลาดแรก กว่าจะบันทึกหุ้นกู้ในบัญชีผู้จองซื้อต้องรอปิดจองซื้อไปแล้ว 7-14 วัน ซึ่งแปลว่ากว่าจะนำเงินไปซื้อขายหุ้นกู้ในตลาดรองได้ต้องรอ 7-14 วัน ซึ่งเสียเวลาและเงินถูกล็อกไว้ ทำอะไรไม่ได้ หรือตลาดรองของหลักทรัพย์เวลาซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเห็นว่ามีการชำระราคา T+2 ไม่สามารถดำเนินการได้ทันที
4.Manual Process คือทำงานโดยใช้บุคลากร ทำให้ล่าช้า 5.Various Intermediaries คือค่าใช้จ่ายจากการมีตัวกลางหลายประเภท ทั้งผู้ออกหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ผู้ค้าหลักทรัพย์ ผู้จัดการการจัดจำหน่าย ผู้ดูแลและเก็บรักษาหลักทรัพย์ และนายทะเบียน ทำให้มีค่าใช้จ่ายและระยะเวลาดำเนินการสูง และ
6.Limited Audit Trail มีข้อจำกัดในการตรวจสอบย้อนหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกฐานข้อมูลต่าง ๆ ที่ยังเป็นกระดาษ
ดังนั้น ก.ล.ต.จึงมีแนวคิดขึ้นมาเพื่อทำให้กระบวนการ “ปะผุ” ในตลาดทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดึง Blockchain แก้ “ปะผุ”
การแก้ “ปะผุ” ก็คือ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Blockchain/Distributed Ledger Technology (DLT) เริ่มตั้งแต่การออกหลักทรัพย์ ซึ่งจะออกได้ 2 แบบ คือ 1.Digital Twin และ 2.Digital Native โดย Digital Twin เป็นแนวทางใกล้เคียงปัจจุบันที่เป็นกระดาษ เป็นใบหุ้น-หุ้นกู้-หน่วยลงทุน ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ในโลกเดิม แต่หากอยากให้หลักทรัพย์มาซื้อขายอยู่ใน Blockchain เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง จะโคลนนิ่งออกมาเป็น Token
“เช่น หุ้นกู้ เดิมซื้อขายแบบ OTC (การซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ดีลเลอร์) และไปรายงานที่สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) แต่พอมี Digital Twin สมมุติ ธนาคารมีหุ้นกู้ A อยากจะขายใน Blockchain ให้ผู้ลงทุนรายย่อยทั่วไปเข้าถึงได้ จะเอาหุ้นกู้โลกเดิมเก็บไว้กับผู้ดูแลและเก็บรักษา (Custody) และโคลนนิ่งออกมาเป็น Token
เช่น หุ้นกู้ A มี 100 หน่วย เอาออกมาขายเป็นหน่วยย่อย หน่วยละ 1 บาทได้ จะเกิดสภาพคล่องในเชน แต่ข้อมูลหุ้นกู้จะอยู่ 2 แห่ง คือ ในบล็อกเชนและ Custody ระหว่างทางต้องมีการซิงค์ข้อมูลกัน ว่าหุ้นกู้ 100 หน่วย ขณะนี้อยู่ในมือใครบ้าง”
แก้ไขกฎหมายออกหลักทรัพย์
ส่วนแนวทาง Digital Native “จอมขวัญ” เล่าว่า จะออกมาเป็นหลักทรัพย์ดิจิทัลตั้งแต่ต้น นั่นแปลว่าหุ้นกู้หรือหลักทรัพย์จะอยู่บนบล็อกเชนอย่างเดียว ซึ่งแนวทาง Digital Native ปัจจุบันยังออกไม่ได้ โดย ก.ล.ต.อยู่ระหว่างแก้ไข พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ บางมาตราให้รองรับการออกหุ้นกู้หรือการออกหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/2568 โดยกฎหมายจะเปิดให้กับทุกหลักทรัพย์ทำได้ แต่เบื้องต้น ก.ล.ต.จะนำร่องบังคับใช้กับการออกหุ้นกู้เป็นตัวแรก
“ต่อไปผู้เก็บรักษาหลักทรัพย์จะเปลี่ยนบทบาท กลายเป็นผู้เก็บรักษา Private Key ของลูกค้าแทน เพราะทุกอย่างซื้อขายอยู่บนบล็อกเชนหมด ส่วนเรื่องของการซื้อขายจะเหมือนตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเพราะเป็นแพลตฟอร์มซื้อขาย 24 ชั่วโมง 7 วัน และรองรับธุรกรรมซื้อขายแบบ Peer-to-Peer ไม่มีเวลาเปิด-ปิดอย่างตลาดหลักทรัพย์ฯ”
ส่วนเรื่องการส่งมอบและชำระราคา จะเป็นแบบ Atomic Settlement ก็คือไม่ต้องรอ 7-14 วัน หรือ T+2 แล้ว เพราะในบล็อกเชนทุกอย่างเกิดขึ้นทันที “เงินมาของไป” ทุกอย่างถูกโปรแกรมไว้เหมือน ATM หรือตู้เต่าบิน “เงินไม่มากาแฟไม่ออก” และการจ่ายดอกเบี้ย/เงินปันผล จะจ่ายแบบอัตโนมัติ และส่งรายงาน ก.ล.ต.ได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งแนวคิดนี้ ก.ล.ต.อยากเห็นธุรกรรมในตลาดทุนใช้กระบวนการดิจิทัลแบบ 100% ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนได้มาก
ถก ธปท. กำกับ Stablecoin
“รองเลขาฯ ก.ล.ต.” กล่าวว่า การซื้อขายใน Blockchain จะรับเป็นเหรียญเท่านั้น ฉะนั้นต้องมี Stablecoin ซึ่งหากอยู่ในโครงการ Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เรียกว่า Programmable Money ผู้เข้าร่วมทดสอบสามารถเอาเงินบาทมา Tokenise เป็น Baht-backed Stablecoin เพื่อใช้เป็นเหรียญในการ Settle ไปใช้จ่ายใน Blockchain ได้เลย
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันการกำกับ Stablecoin ก.ล.ต.มีอำนาจตาม พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัล แต่ก็อยู่ระหว่างหารือกับ ธปท. กรณีหาก ก.ล.ต.จะมีการกำกับดูแล Stablecoin ซึ่งเป็นเหมือน Programmable Money ของ ธปท. แบบเป๊ะ ๆ ว่าจะสามารถดำเนินการได้อย่างไรบ้าง โดยเชื่อว่าภาพใหญ่คงเห็นร่วมกัน เพราะเหมือนขับเคลื่อนให้มีประสิทธิภาพในตลาดทุน
“ในอนาคตเมื่อมีกฎหมายรองรับหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว เชื่อว่าการปรับตัวจะคล้ายกับเราใช้โทรศัพท์มือถือ จากจอดำ อีกหน่อยจะคุ้นเคยกับสมาร์ทโฟนเอง หรือเดิมไปสาขาแบงก์ แต่ปัจจุบันคุ้นชินกับการใช้โมบายแบงกิ้ง พอพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน พฤติกรรมผู้ประกอบการเปลี่ยน ทุกคนต้องมูฟไป ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางที่เราอยากผลักดันให้ตลาดทุนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสู่เศรษฐกิจดิจิทัล”
รองเลขาธิการ ก.ล.ต.กล่าว และว่า “ในแง่ความพร้อม คงเป็นฝั่งภาคธนาคารที่มีบล็อกเชนในเครือข่ายที่สามารถดำเนินการได้ก่อน ทั้งนี้ ช่วงแรก ๆ อาจจะเริ่มเป็น Digital Twin ก่อน เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้คุ้นชินกับการเทรดเป็น Token”